[คำแถลงต่อศาลปกครองกลาง ในวันนัดพิจารณาคดี 15 ตุลาคม 2568 โดย สฤณี อาชวานันทกุล ในฐานะผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในคดีที่ฟ้องกองทัพบก และผู้บัญชาการกองทัพบก ฟ้องร่วมกับ ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ และ วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ ยื่นฟ้องปี 2564 รายละเอียดคดี]
ดิฉัน นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล ในฐานะผู้ฟ้องคดีที่หนึ่ง ขอกล่าวคำแถลงต่อศาลในคดีหมายเลขดำที่ 368/2564 ที่ดิฉันและผู้ฟ้องคดีอีก 2 ท่าน ฟ้องกองทัพบก และผู้บัญชาการกองทัพบก
ด้วยความที่ดิฉันไม่ใช่นักกฎหมาย และเห็นว่าทนายของพวกเราทั้งสามได้นำเสนอข้อกฎหมายและพยานหลักฐานต่างๆ ที่ยืนยันว่ามีการดำเนินการปฏิบัติการข่าวสาร หรือ IO โดยกองทัพบก ต่อพวกเราทั้งสามและประชาชนคนอื่นๆ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้วตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา
ดิฉันจึงขอถือโอกาสนี้ นำเสนอประเด็นเพิ่มเติมสามประเด็น ที่เห็นว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพิจารณาของศาลในคดีนี้
ประเด็นแรก ผลกระทบของการดำเนินการ IO ต่อสิทธิเสรีภาพและพัฒนาการประชาธิปไตย
ประเด็นที่สอง ข้อสังเกตว่า การดำเนินการ IO ของกองทัพบกไม่เป็นไปตามหลักการปฏิบัติการข่าวสาร ของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ซึ่งกองทัพบกอ้างว่าใช้เป็นแบบอย่าง
ประเด็นที่สาม “ข้อเท็จจริง” ในโลกคู่ขนาน และผลพวงของคำพิพากษาต่อสังคมไทยในอนาคต
ประเด็นแรก ผลกระทบของการดำเนินการ IO ต่อสิทธิเสรีภาพและพัฒนาการประชาธิปไตย
การพัฒนาประเทศในระบอบประชาธิปไตยจะก้าวหน้าก็ด้วยการแสวงฉันทมติในประเด็นสาธารณะสำคัญๆ ที่ประชาชนย่อมมีความเห็นแตกต่างหลากหลาย ฉันทมตินั้นจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อตกผลึกผ่านกระบวนการถกเถียงอภิปรายที่ประชาชนสามารถแสดงออกอย่างเป็นอิสระ กล้าวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะ รวมถึงผู้มีอำนาจทางการเมือง
สำหรับปฏิบัติการข่าวสารหรือ IO หรือที่กองทัพบกเรียกว่า “ปฏิบัติการสารสนเทศ” นิยามในเอกสารคำให้การของผู้ถูกร้องหมายถึง “การนำเอาพันธกิจทางทหารหลายประการมาบูรณาการ …เพื่อทำให้มีอิทธิพล ทำลาย ลดประสิทธิภาพในการตัดสินใจและการปฏิบัติของฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งดำเนินการป้องกันการกระทำของฝ่ายตรงข้ามต่อฝ่ายทหารในลักษณะเดียวกัน”
จากนิยามดังกล่าว ชัดเจนว่าหากมีการดำเนินการปฏิบัติการข่าวสาร หรือ IO ต่อประชาชนในชาติจำนวนมาก โดยฝ่ายทหารจัดบุคคลเหล่านั้นเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” เช่น การจัดให้อยู่ในกลุ่ม “ชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล” ดังที่ดิฉันและผู้ฟ้องคดีอีกสองท่านประสบกับตัวเอง และมีพยานหลักฐานในคดีนี้ยืนยันอย่างชัดเจนแล้วไซร์ ผลกระทบที่ขึ้นย่อมไม่จำกัดอยู่เพียงการละเมิดสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ฟ้องคดีเท่านั้น หากแต่ยังหยั่งรากลึกและแผ่วงกว้างไปถึงสังคมโดยรวม
การดำเนินการ IO ในลักษณะดังกล่าว ส่งผลบั่นทอนพัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศ เพราะทำให้เกิดความแตกแยกแบ่งขั้วอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชน จากการด้อยค่าและบิดเบือนผู้ที่เห็นต่างจากรัฐเป็น “พวกชังชาติ” การกระทำเช่นนี้มุ่งสร้างความรังเกียจและเกลียดชังระหว่างประชาชนด้วยกันเอง (radicalization) จนทำให้สังคมไม่อาจถกเถียง แลกเปลี่ยน อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ อันเป็นรากฐานสำคัญของการแสวงฉันทมติในประเด็นสาธารณะ ดังนั้น การดำเนินการ IO ต่อประชาชนจึงเป็นการบั่นทอนพัฒนาการของประชาธิปไตยไทยให้ถอยหลัง แทนที่จะก้าวไปข้างหน้า
ประเด็นที่สอง ข้อสังเกตว่า การดำเนินการ IO ของกองทัพบกไม่เป็นไปตามหลักการปฏิบัติการข่าวสาร ของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ซึ่งกองทัพบกอ้างว่าใช้เป็นแบบอย่าง
ผู้ถูกร้องที่ 1 และ 2 อ้างในคำให้การต่อศาลว่า “กองทัพบกไทย ได้ใช้หลักการปฏิบัติการข่าวสาร โดยอ้างอิงจากคู่มือราชการสนาม การปฏิบัติการข่าวสารของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา FM 3.13 ปี 2003 ปรากฎตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2” และอ้างต่อไปว่า “ปัจจุบันประเทศอยู่ในสภาวะปกติ ไม่มีการรบ ดังนั้น ทุกเหล่าทัพจะมีการดำเนินการประชาสัมพันธ์ … โดยการปฏิบัติการข่าวสาร กองทัพบกมีการดำเนินงานในลักษณะของการฝึกอบรม การศึกษาสำหรับเตรียมการเมื่อจะต้องใช้หากมีสถานการณ์ที่จำเป็นในห้วงการปฏิบัติการรบเท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม พยานหลักฐานของดิฉันและผู้ฟ้องคดีอีก 2 ท่าน จากทั้งเอกสารราชการจำนวนมากและรายงานผลการตรวจสอบของ ทวิตเตอร์ และ เฟซบุ๊ก สองผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียระดับโลก บ่งชี้ในทางตรงกันข้ามว่า กองทัพบกดำเนินการ IO กับประชาชน แม้ในปี พ.ศ. 2564 ที่ประเทศอยู่ในสภาวะปกติ ไม่มีการรบ
การดำเนินดังกล่าว นับเป็นการละเมิดหลักการปฏิบัติการข่าวสารของสหรัฐอเมริกา ซึ่งกองทัพบกไทยอ้างว่านำมาใช้เป็นแบบอย่าง โดยหลักการดังกล่าวตามเอกสารของฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ อาทิ นโยบายกระทรวงกลาโหม (Department of Defense) และคำสั่งประธานาธิบดี (executive order) ห้ามมิให้กระทำการปฏิบัติการข่าวสารหรือ IO กับ “พลเมืองอเมริกัน” ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกประเทศ ไม่ว่าจะเวลาใดหรือในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม[1] นอกจากนี้ กฎหมายอนุมัติงบประมาณกลาโหม (National Defense Authorization Act) เช่น ฉบับประจำปี 2013 ยังห้ามไม่ให้ใช้งบประมาณเพื่อ “ส่งอิทธิพลต่อความเห็นสาธารณะในสหรัฐอเมริกา”[2]
ประเด็นที่สาม “ข้อเท็จจริง” ในโลกคู่ขนาน และผลพวงของคำพิพากษาต่อสังคมไทยในอนาคต
ผู้ถูกร้องที่ 1 และ 2 อ้างในคำให้การต่อศาลว่า ปัจจุบัน “การปฏิบัติการข่าวสาร กองทัพบกมีการดำเนินงานในลักษณะของการฝึกอบรม การศึกษาสำหรับเตรียมการเมื่อจะต้องใช้หากมีสถานการณ์ที่จำเป็นในห้วงการปฏิบัติการรบเท่านั้น” และอ้างต่อไปว่า “ไม่เคยมีการสั่งการใดๆ จากผู้บัญชาการทหารบกให้มีการปฏิบัติการข่าวสารเพื่อกระทำต่อฝ่ายเห็นต่างรัฐบาล หรือใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง”
พยานหลักฐานของเราที่หักล้างคำกล่าวอ้างดังกล่าวในคดีนี้ มีทั้งเอกสารราชการจำนวนมากและรายงานผลการตรวจสอบของ ทวิตเตอร์ และ เฟซบุ๊ก บริษัทโซเชียลมีเดียระดับโลก ขณะที่พยานหลักฐานของผู้ถูกร้องทั้งสองมีเพียงการเบี่ยงประเด็นและคำกล่าวอ้างลอยๆ เท่านั้น
ผู้ถูกร้องเบี่ยงประเด็นในกรณีรายงานการของทวิตเตอร์ว่า กองทัพบกใช้สื่อชนิดนี้เพื่อการประชาสัมพันธ์เท่านั้น โดยไม่นำเสนอข้อมูลใดๆ ที่จะหักล้างข้อค้นพบในรายงาน ว่ามีบัญชีผู้ใช้หลายร้อยบัญชีที่เชื่อมโยงกับกองทัพบก
ผู้ถูกร้องกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยว่า เอกสารราชการบางชิ้นถูกปลอมขึ้นโดย “ผู้ไม่ประสงค์ดี” โดยไม่มีการระบุอย่างเจาะจงว่า เอกสารชิ้นใดบ้างที่ปลอม อีกทั้งไม่ปรากฎว่าผู้ถูกร้องทั้งสองได้เคยดำเนินการใดๆ อย่างจริงจังที่จะหาตัว “ผู้ไม่ประสงค์ดี” ทั้งที่เอกสารเหล่านี้ถูกใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภาหลายครั้ง เป็นที่รับรู้ของประชาชนอย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของกองทัพบก
เป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับดิฉัน ที่กองทัพบกจะปล่อยให้ “ผู้ไม่ประสงค์ดี” ปลอมแปลงเอกสารราชการมาอย่างยาวนาน โดยไม่มีความพยายามใดๆ ที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของตน – หากมีการปลอมแปลงเอกสารจริง
ไม่ว่ากองทัพบกจะยอมรับหรือไม่ก็ตามว่าอยู่เบื้องหลังการปฏิบัติการข่าวสาร IO แต่พฤติกรรมและผลลัพธ์ของการดำเนินการดังกล่าวได้กลายเป็น “ความจริงของชีวิต” ที่ดิฉันและผู้ฟ้องคดีอีก 2 ท่าน ต้องเผชิญในชีวิตประจำวันติดต่อกันมาหลายปีแล้ว
ดิฉันเห็นว่า หากกองทัพบก ดำเนินการจริงตามคำให้การต่อศาล ที่ว่าจะ “ช่วยเหลือประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม โดยไม่เคยแบ่งแยกว่าประชาชนนั้นจะเป็นคนกลุ่มใด มีความคิดเห็นหรือมีทัศนคติต่อกองทัพหรือรัฐบาลอย่างไร” กองทัพบกย่อมไม่นิ่งดูดายต่อความเดือดร้อนของประชาชนอย่างดิฉัน
ศาลที่เคารพ
คดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ เป็นคดีแรกที่ประชาชนอย่างดิฉันหวังว่า ศาลปกครองจะสามารถอำนวยความยุติธรรม เป็นที่พึ่งสุดท้ายในการทำความจริงให้ปรากฏว่า กองทัพบกมีการดำเนินการ IO ต่อประชาชนผู้เห็นต่างจากรัฐจริงหรือไม่ หรือว่าดิฉันและผู้ฟ้องคดีอีก 2 ท่าน ได้เผชิญหน้ามาช้านานกับการดำเนินการ IO จาก “ผู้ไม่ประสงค์ดี” ลึกลับ ที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร และกองทัพบกก็ไม่แยแสที่จะสืบสาวเอาความ
ดิฉันขอเรียนต่อศาลด้วยความเคารพว่า ในคดีนี้มีข้อเท็จจริงที่นำเสนอจากสองฝ่ายอย่างแตกต่างกันราวกับอยู่ในโลกคู่ขนาน ในเมื่อศาลมีบทบาทสำคัญในการสร้างและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งอยู่ในภาวะเปราะบางอย่างยิ่งในปัจจุบัน ดิฉันจึงขอให้ศาลได้โปรดพิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักอย่างรอบคอบ และไม่ให้น้ำหนักแก่คำกล่าวอ้างลอยๆ ที่พยายามเบี่ยงประเด็น ทั้งยังขาดหลักฐานรองรับ เพื่อให้คำพิพากษาคดีนี้เป็นหมุดหมายแห่งความเชื่อมั่นต่อความสามารถในการสืบค้นความจริงของศาล และฟื้นฟูความเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมของศาลไทยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงและเหตุผล
สุดท้าย ขอให้ศาลโปรดพิจารณาพิพากษาคดีนี้ตามหลักกฎหมายปกครองและหลักความยุติธรรม เพื่อสถาปนาบรรทัดฐานใหม่ให้กับการปฏิบัติการทางปกครองของหน่วยงานรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ฟ้องคดีทั้งสามและประชาชน รวมถึงขับเคลื่อนการพัฒนาประชาธิปไตยไทย ให้หลุดพ้นจากปลักความขัดแย้งแบ่งขั้ว ซึ่งส่วนหนึ่งถูกสร้างโดยการดำเนินการ IO
[1] อ้างอิง Rumsfeld’s Roadmap to Propaganda (ตุลาคม 2003) เข้าถึงออนไลน์จาก https://nsarchive2.gwu.edu//NSAEBB/NSAEBB177/index.htm และ Joint Publication 3-13.2: Psychological Operations (2010) เข้าถึงออนไลน์จาก https://fas.org/irp/doddir/dod/jp3-13-2.pdf (หน้า I-3 ข้อ 2(a))
[2] อ้างอิง งบประมาณกลาโหมสหรัฐ 2013 https://www.congress.gov/112/plaws/publ239/PLAW-112publ239.pdf (Sec 208)