ความเห็นต่อกรณีสปิตเซอร์ | เหตุใดซ่องจึงควรขึ้นมาอยู่ “บนดิน”

คุณ mk ถามปฏิกิริยาของผู้เขียนต่อกรณีที่ เอลเลียต สปิตเซอร์ ผู้ว่าการกรุงนิวยอร์กที่เคยเขียนถึงในคอลัมน์ “คนชายขอบ” ถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากที่ถูกเปิดโปงว่าใช้บริการของโสเภณี ผู้เขียนขอตอบสั้นๆ ว่า รู้สึกเห็นใจสปิตเซอร์มากกว่าเสียใจที่เขาทำเรื่องนี้ เพราะไม่คิดว่าการค้าประเวณีควรเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และก็ไม่คิดว่าสังคมควรมองว่านี่เป็นเรื่อง “ศีลธรรมเสื่อมโทรม” ด้วย เพราะมุมมองแบบนั้นดูค่อนข้าง “ปากว่าตาขยิบ” ในความเห็นของผู้เขียน อย่างไรก็ตาม สปิตเซอร์เองก็เป็นคนที่ใช้วิธีดุดันเกินไปในการทำงาน ชอบข่มขู่และอวดอ้างว่าตัวเองเป็น “คนดี” กว่าคนที่เขาขู่ฟ้อง ทำให้คนจำนวนมากโดยเฉพาะวอลล์สตรีทซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขาไม่พอใจตลอดมา กรณีีที่เขาถูกบีบให้ลาออกเพราะ “ตกม้าตาย” เรื่องศีลธรรมคุณธรรมที่ตัวเองอ้างว่าเหนือกว่า ก็เลยเป็นเรื่องของ “กรรม” ที่เป็น irony ที่น่าเศร้าเคสหนึ่ง สรุปว่าผู้เขียนคิดว่าเรื่องนี้ “ไม่น่าเลย” แต่สปิตเซอร์ก็ยังคงเป็น “ฮีโร่” คนหนึ่งของผู้เขียน (ถึงแม้ว่าระดับความเป็นฮีโร่ของเขาจะลดลงมาหน่อย) อยู่นั่นเอง

ขอแปลและแบ่งปันข้อเขียนของมาร์ธา นัสบอห์ม (Martha Nussbaum) หนึ่งในนักปรัชญารุ่นใหม่ในดวงใจ เกี่ยวกับกรณีสปิตเซอร์และเหตุผลที่การขายบริการทางเพศควรเป็นอาีชีพถูกกฏหมาย ไว้ในบล็อกวันนี้ เพราะเหตุผลเหล่านี้ก็ใช้ได้กับอาชีพนี้ในเมืองไทยเหมือนกัน:

แลกเปลี่ยนเรื่องแนวคิดแบบศีลธรรมจ๋าของอเมริกา
แปลจาก “Trading on America’s Puritanical Streak” โดย มาร์ธา นัสบอห์ม

เอลเลียต สปิตเซอร์ หนึ่งในนักการเมืองผู้มีพรสวรรค์ที่สุดและทุ่มเทที่สุดของอเมริกา ถูกสังคมไล่ล่าบีบบังคับให้ลาออกด้วยลัทธิคุณธรรมสูงส่งแบบพิวริแทน (Puritanism) และเจตนาร้ายคิดเล็กคิดน้อยที่เป็นนิสัยแบบอเมริกันอย่างแท้จริง เพื่อนร่วมงานของฉันที่เป็นชาวยุโรป (ฉันกำลังเขียนบทความนี้จากงานสัมมนาที่กรุงเบลเยียม) ไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พวกเขารู้ว่ามันเป็นหนึ่งในสิ่งที่เกิดได้แต่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น ประเทศที่หัวข้อเรื่องเซ็กซ์ทำให้คนธรรมดาที่ปกติมีเหตุผลทำตัวเหมือนคนบ้า ในเยอรมันและเนเธอร์แลนด์ การค้าประเวณีเป็นอาชีพถูกกฎหมายที่ถูกกำกับดูแลโดยหน่วยงานรัฐด้านสุขอนามัย ผู้ชายคนไหนก็ตามที่ทำสิ่งที่สปิตเซอร์ทำจะต้องมีเรื่องคุยยืดยาวกับภรรยาและครอบครัวของเขา แต่เขาจะไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย และมันจะเป็นเรื่องน่าหัวเราะที่จะกล่าวหาว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น ถ้าสปิตเซอร์ทำอะไรผิดกฎหมาย กฎหมายเหล่านั้นก็เป็นกฎหมายแย่ๆ ที่ไม่ควรจะเป็นกฎหมายตั้งแต่แรก

ทำไมเราจึงมีกฎหมายที่ตีตราว่าการค้าประเวณีเป็นเรื่องผิดกฎหมาย? เราทุกคน ยกเว้นคนรวยที่ใช้เงินมรดกและคนไม่มีงานทำ หารายได้จากการใช้ร่างกายของเรา อาจารย์มหาวิทยาลัย คนงานในโรงงาน นักร้องโอเปร่า โสเภณี แพทย์ นักกฎหมาย ล้วนทำงานด้วยการใช้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่คนอื่นยินดีจ่ายเงินแลก บางคนมีรายได้ดี และบางคนก็มีรายได้น้อย บางคนมีอำนาจควบคุมสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน และบางคนก็แทบไม่มีอำนาจนี้ บางคนมีทางเลือกมากมายในการหางานทำ และบางคนก็มีทางเลือกน้อยมาก บางคนมีมลทินทางสังคม และบางคนก็ไม่มี อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างผู้ขายบริการทางเพศกับอาจารย์มหาวิทยาลัยสตรี ซึ่งใช้อวัยวะส่วนตัวของร่างกายของเธอ นั่นคือสมอง ไม่ใช่ความแตกต่างระหว่าง “ผู้หญิงดี” กับ “ผู้หญิงไม่ดี” หากมันมักจะเป็นความแตกต่างระหว่างผู้หญิงฐานะดีที่มีการศึกษา กับผู้หญิงยากจนที่ไม่ค่อยมีทางเลือกในการประกอบอาชีพ


คุณ mk ถามปฏิกิริยาของผู้เขียนต่อกรณีที่ เอลเลียต สปิตเซอร์ ผู้ว่าการกรุงนิวยอร์กที่เคยเขียนถึงในคอลัมน์ “คนชายขอบ” ถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากที่ถูกเปิดโปงว่าใช้บริการของโสเภณี ผู้เขียนขอตอบสั้นๆ ว่า รู้สึกเห็นใจสปิตเซอร์มากกว่าเสียใจที่เขาทำเรื่องนี้ เพราะไม่คิดว่าการค้าประเวณีควรเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และก็ไม่คิดว่าสังคมควรมองว่านี่เป็นเรื่อง “ศีลธรรมเสื่อมโทรม” ด้วย เพราะมุมมองแบบนั้นดูค่อนข้าง “ปากว่าตาขยิบ” ในความเห็นของผู้เขียน อย่างไรก็ตาม สปิตเซอร์เองก็เป็นคนที่ใช้วิธีดุดันเกินไปในการทำงาน ชอบข่มขู่และอวดอ้างว่าตัวเองเป็น “คนดี” กว่าคนที่เขาขู่ฟ้อง ทำให้คนจำนวนมากโดยเฉพาะวอลล์สตรีทซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขาไม่พอใจตลอดมา กรณีีที่เขาถูกบีบให้ลาออกเพราะ “ตกม้าตาย” เรื่องศีลธรรมคุณธรรมที่ตัวเองอ้างว่าเหนือกว่า ก็เลยเป็นเรื่องของ “กรรม” ที่เป็น irony ที่น่าเศร้าเคสหนึ่ง สรุปว่าผู้เขียนคิดว่าเรื่องนี้ “ไม่น่าเลย” แต่สปิตเซอร์ก็ยังคงเป็น “ฮีโร่” คนหนึ่งของผู้เขียน (ถึงแม้ว่าระดับความเป็นฮีโร่ของเขาจะลดลงมาหน่อย) อยู่นั่นเอง

ขอแปลและแบ่งปันข้อเขียนของมาร์ธา นัสบอห์ม (Martha Nussbaum) หนึ่งในนักปรัชญารุ่นใหม่ในดวงใจ เกี่ยวกับกรณีสปิตเซอร์และเหตุผลที่การขายบริการทางเพศควรเป็นอาีชีพถูกกฏหมาย ไว้ในบล็อกวันนี้ เพราะเหตุผลเหล่านี้ก็ใช้ได้กับอาชีพนี้ในเมืองไทยเหมือนกัน:

แลกเปลี่ยนเรื่องแนวคิดแบบศีลธรรมจ๋าของอเมริกา
แปลจาก “Trading on America’s Puritanical Streak” โดย มาร์ธา นัสบอห์ม

เอลเลียต สปิตเซอร์ หนึ่งในนักการเมืองผู้มีพรสวรรค์ที่สุดและทุ่มเทที่สุดของอเมริกา ถูกสังคมไล่ล่าบีบบังคับให้ลาออกด้วยลัทธิคุณธรรมสูงส่งแบบพิวริแทน (Puritanism) และเจตนาร้ายคิดเล็กคิดน้อยที่เป็นนิสัยแบบอเมริกันอย่างแท้จริง เพื่อนร่วมงานของฉันที่เป็นชาวยุโรป (ฉันกำลังเขียนบทความนี้จากงานสัมมนาที่กรุงเบลเยียม) ไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พวกเขารู้ว่ามันเป็นหนึ่งในสิ่งที่เกิดได้แต่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น ประเทศที่หัวข้อเรื่องเซ็กซ์ทำให้คนธรรมดาที่ปกติมีเหตุผลทำตัวเหมือนคนบ้า ในเยอรมันและเนเธอร์แลนด์ การค้าประเวณีเป็นอาชีพถูกกฎหมายที่ถูกกำกับดูแลโดยหน่วยงานรัฐด้านสุขอนามัย ผู้ชายคนไหนก็ตามที่ทำสิ่งที่สปิตเซอร์ทำจะต้องมีเรื่องคุยยืดยาวกับภรรยาและครอบครัวของเขา แต่เขาจะไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย และมันจะเป็นเรื่องน่าหัวเราะที่จะกล่าวหาว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น ถ้าสปิตเซอร์ทำอะไรผิดกฎหมาย กฎหมายเหล่านั้นก็เป็นกฎหมายแย่ๆ ที่ไม่ควรจะเป็นกฎหมายตั้งแต่แรก

ทำไมเราจึงมีกฎหมายที่ตีตราว่าการค้าประเวณีเป็นเรื่องผิดกฎหมาย? เราทุกคน ยกเว้นคนรวยที่ใช้เงินมรดกและคนไม่มีงานทำ หารายได้จากการใช้ร่างกายของเรา อาจารย์มหาวิทยาลัย คนงานในโรงงาน นักร้องโอเปร่า โสเภณี แพทย์ นักกฎหมาย ล้วนทำงานด้วยการใช้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่คนอื่นยินดีจ่ายเงินแลก บางคนมีรายได้ดี และบางคนก็มีรายได้น้อย บางคนมีอำนาจควบคุมสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน และบางคนก็แทบไม่มีอำนาจนี้ บางคนมีทางเลือกมากมายในการหางานทำ และบางคนก็มีทางเลือกน้อยมาก บางคนมีมลทินทางสังคม และบางคนก็ไม่มี อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างผู้ขายบริการทางเพศกับอาจารย์มหาวิทยาลัยสตรี ซึ่งใช้อวัยวะส่วนตัวของร่างกายของเธอ นั่นคือสมอง ไม่ใช่ความแตกต่างระหว่าง “ผู้หญิงดี” กับ “ผู้หญิงไม่ดี” หากมันมักจะเป็นความแตกต่างระหว่างผู้หญิงฐานะดีที่มีการศึกษา กับผู้หญิงยากจนที่ไม่ค่อยมีทางเลือกในการประกอบอาชีพ

อาชีพใช้แรงงานจำนวนมากเคยเป็นอาชีพที่ถูกสังคมดูถูกดูแคลน ยกตัวอย่างเช่น สังคมในยุคกลาง (Middle Ages) ถือว่าการรับค่าจ้างจากการให้บริการด้านวิชาการเป็นเรื่องเลวทราม อดัม สมิธ (Adam Smith) ในหนังสือเรื่อง “ความมั่งคั่งของนานาประเทศ” (The Wealth of Nations) บอกเราว่ามี “พรสวรรค์ที่ดีและงดงาม” บางอย่างที่น่าชมเชยตราบใดที่เราไม่รับค่าจ้างในการใช้พรสวรรค์นั้นๆ “แต่ถ้าใครใช้พรสวรรค์เหล่านั้นเพื่อแสวงหากำไร ไม่ว่าจะทำด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ นั่นก็นับเป็นการค้าประเวณีในที่สาธารณะชนิดหนึ่ง” นี่คือสาเหตุที่สมิธบอกว่านักร้องโอเปร่า นักแสดง และนักเต้นรำจะต้องได้ค่าจ้าง “สูงลิบลิ่ว” เพื่อตอบแทนที่พวกเขาต้องรับมลทินทางสังคมจากการใช้พรสวรรค์ “เป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน” สมิธสรุปว่า “เมื่อใดที่ค่านิยมหรืออคติของสังคมต่ออาชีพทำนองนี้เปลี่ยนแปลงไป ค่าตอบแทนของพวกเขาก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว” ถึงแม้ว่าสมิธจะไม่ถูกทีเดียวนักเกี่ยวกับตลาดโอเปร่า ประเด็นของเขาก็บอกอะไรเรามากมายเกี่ยวกับมลทินทางสังคม วันนี้ มีอาชีพน้อยชนิดที่ได้รับการเคารพยกย่องทัดเทียมกับนักร้องโอเปร่า เพียงเมื่อสองร้อยปีก่อน การใช้ร่างกายในการหารายได้ในที่สาธารณะแบบนั้นถูกมองว่าเป็นการค้าประเวณีชนิดหนึ่ง

มลทินทางสังคมบางประการที่ติดอยู่กับนักร้องโอเปร่า เป็นมลทินโดยทั่วไปเกี่ยวกับงานที่ต้องใช้แรงงาน (wage labor) แต่ไหนแต่ไรมา ชนชั้นนำผู้ร่ำรวยนิยมงานแบบผู้ดีสมัครเล่นมากกว่า แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าอาชีพนักร้อง นักเต้นรำ และนักแสดงเปิดเปลือยอารมณ์ตัณหาในที่สาธารณะด้วยร่างกาย โดยเฉพาะร่างกายของสตรี ทำให้ผู้ประกอบอาชีพเหล่านี้ไม่เป็นที่นิยมยกย่องในสังคมจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ตอนนี้พวกเขามีหน้ามีตา แต่ผู้หญิงที่รับเงินแลกกับการให้บริการทางเพศยังถูกตีตราว่าทำสิ่งที่ไม่เพียงแต่ต่ำต้อยเท่านั้น แต่ยัง “เลว” จนสมควรจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายต่อไป

การขายบริการทางเพศควรทำให้เราว้าวุ่นใจเพราะอะไรกันแน่? ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้หญิงเหล่านี้ขายบริการทางเพศให้กับลูกค้าหลายคน ในตัวมันเองไม่ควรทำให้เราเป็นกังวลจากมุมมองของกฎหมาย ถึงแม้ว่าเราอาจไม่เห็นด้วยกับคุณค่าทางศีลธรรมของพวกเธอ อย่างไรก็ดี นี่คือข้อเท็จจริงหนึ่งเดียวที่ชาวอเมริกันพิวริแทนผู้ถือตัวว่ามีคุณธรรมสูงส่งทั้งหลายไม่มีวันยอมรับได้ (อย่างไรก็ตาม โปรดสังเกตว่าตอนนี้เราไม่ยอมให้ประวัติการมีเซ็กซ์ของผู้หญิงเป็นพยานหลักฐานที่ใช้ได้ในการดำเนินคดีข่มขืนในชั้นศาลแล้ว เพราะเรารู้ดีว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้หญิงอาจเคยมีเซ็กซ์กับผู้ชายหลายคน ไม่ได้แปลว่าเธอกลายเป็นคนเลวที่ถูกข่มขืนไม่ได้) สิ่งที่เราควรเป็นกังวลคือประเด็นอื่นๆ เช่น สภาพแวดล้อมในที่ทำงานของหญิงผู้ค้าประเวณีมักจะไม่ถูกสุขอนามัยอย่างร้ายแรง ผู้หญิงเหล่านี้ถูกแมงดาเอาเปรียบ และไม่ค่อยมีสิทธิเลือกลูกค้าของตัวเอง ตำรวจลวนลามพวกเธอและบีบบังคับให้มีเซ็กซ์ด้วย ลักษณะแย่ๆ บางประการของงานขายบริการทางเพศ (สภาพแวดล้อมไม่สะอาด, ไม่มีสิทธิ) ไม่ต่างกับงานอื่นๆ ที่เป็นทางเลือกของผู้หญิงรายได้น้อย เช่น งานในโรงงานอุตสาหกรรม ลักษณะแย่อีกบางประการ (เช่น การข่มขู่จากตำรวจ) เป็นผลพวงตามธรรมชาติของความที่การค้าประเวณีเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

โดยทั่วไป เราควรจะเป็นกังวลเรื่องปัญหาความยากจนและปัญหาการขาดการศึกษา เราควรจะเป็นห่วงว่าผู้หญิงมีทางเลือกในการหางานน้อยเกินไป และมีกฎระเบียบเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยน้อยเกินไปในงานที่พวกเธอทำได้ และเราก็ควรจะเป็นห่วงถ้าผู้ชายบังคับผู้หญิงให้ทำอะไรทางเพศที่พวกเธอไม่อยากทำ เราควรเป็นห่วงเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งก็ล้วนเป็นเรื่องที่ประเทศที่มีเหตุผลเป็นห่วง แต่ไอเดียที่ว่าเราต้องทำโทษผู้หญิงที่มีทางเลือกน้อย ด้วยการดึงเอาหนึ่งในทางเลือกที่พวกเธอมีออกไป เป็นไอเดียที่โหดร้าย เป็นผลพวงที่ชัดเจนของความคิดแบบอเมริกันมากๆ ที่ว่า ผู้หญิงที่เลือกที่จะมีเซ็กซ์กับผู้ชายมากหน้าหลายตาล้วนเป็นคนเลวทรามที่ต้องถูกทำโทษ

ความผิดของเอลเลียต สปิดเซอร์ คือความผิดที่กระทำต่อครอบครัวของเขา ไม่ใช่ความผิดต่อสาธารณชน ถ้าจะมีกฎหมายอะไรที่เขาละเมิด กฎหมายเหล่านั้นก็ล้วนเป็นกฎหมายที่ไม่ควรเป็นกฎหมายตั้งแต่แรก หรือเป็นกฎหมายที่ประเทศที่มีเหตุผลยกเลิกไปแล้ว เสียงโห่ฮาและโห่ร้องที่ทำลายหนึ่งในนักการเมืองอาชีพที่ทุ่มเทที่สุดของประเทศนี้สะท้อนให้ประเทศของเรามองเห็นด้านมืดของตัวเอง.