“คุณทักษิณ ออกไปเถอะครับ”

คุณทักษิณ ออกไปเถอะครับ แล้วอย่ากลับมาอีกเลย

โดย วสิษฐ เดชกุญชร

ผมก็เป็นคนหนึ่งนะครับ ที่อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และไม่อยากเห็นคุณทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก

เหตุผลของผมไม่จำเป็นจะต้องเหมือนของคนอื่น จะมีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล หรือไม่มี และจะมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หรือไม่มี ผมก็อยากให้คุณทักษิณพ้นตำแหน่ง และไม่อยากให้คุณทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสองครั้งที่แล้ว ผมไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้พรรคไทยรักไทยด้วยเหตุผลง่ายๆ คือผมไม่รู้จักและยังไม่เชื่อถือหัวหน้าพรรค (คือคุณทักษิณ) ที่จริงตอนที่ผมยังอยู่ในราชการตำรวจนั้น คุณทักษิณก็ยังเป็นตำรวจอยู่ นับได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกันโดยปริยาย แต่หน้าที่ของเรามิได้เกี่ยวข้องกันโดยตรง ผมจึงไม่มีโอกาสที่จะได้รู้จักคุณทักษิณจริงๆ

เพราะไม่รู้จักและยังไม่เชื่อถือ เมื่อคุณจำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรมบอกผมว่า จะเชิญคุณทักษิณไปเป็นหัวหน้าพรรคแทนคุณจำลอง ผม (ซึ่งเป็นที่ปรึกษาพรรคพลังธรรมอยู่) จึงถามคุณจำลองว่า แน่ใจแล้วหรือ คุณจำลองบอกว่าแน่ใจ และพรรณนาสรรพคุณหลายประการของคุณทักษิณให้ผมฟัง แต่ผมก็ไม่ยังไม่ปลงใจเชื่อ พอคุณทักษิณขึ้นไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ผมจึงลาออกจากการเป็นที่ปรึกษาพรรค


คุณทักษิณ ออกไปเถอะครับ แล้วอย่ากลับมาอีกเลย

โดย วสิษฐ เดชกุญชร

ผมก็เป็นคนหนึ่งนะครับ ที่อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และไม่อยากเห็นคุณทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก

เหตุผลของผมไม่จำเป็นจะต้องเหมือนของคนอื่น จะมีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล หรือไม่มี และจะมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หรือไม่มี ผมก็อยากให้คุณทักษิณพ้นตำแหน่ง และไม่อยากให้คุณทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสองครั้งที่แล้ว ผมไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้พรรคไทยรักไทยด้วยเหตุผลง่ายๆ คือผมไม่รู้จักและยังไม่เชื่อถือหัวหน้าพรรค (คือคุณทักษิณ) ที่จริงตอนที่ผมยังอยู่ในราชการตำรวจนั้น คุณทักษิณก็ยังเป็นตำรวจอยู่ นับได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกันโดยปริยาย แต่หน้าที่ของเรามิได้เกี่ยวข้องกันโดยตรง ผมจึงไม่มีโอกาสที่จะได้รู้จักคุณทักษิณจริงๆ

เพราะไม่รู้จักและยังไม่เชื่อถือ เมื่อคุณจำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรมบอกผมว่า จะเชิญคุณทักษิณไปเป็นหัวหน้าพรรคแทนคุณจำลอง ผม (ซึ่งเป็นที่ปรึกษาพรรคพลังธรรมอยู่) จึงถามคุณจำลองว่า แน่ใจแล้วหรือ คุณจำลองบอกว่าแน่ใจ และพรรณนาสรรพคุณหลายประการของคุณทักษิณให้ผมฟัง แต่ผมก็ไม่ยังไม่ปลงใจเชื่อ พอคุณทักษิณขึ้นไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ผมจึงลาออกจากการเป็นที่ปรึกษาพรรค

แต่เมื่อพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงข้างมาก และคุณทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ตามธรรมเนียมการปกครองแบบประชาธิปไตย ผมก็ต้องยอมรับมติของคนไทยอื่นๆ อีก 19 ล้านคนที่เลือกพรรคไทยรักไทย และยอมรับนับถือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคุณทักษิณ

ในขณะเดียวกัน ผมก็หวังด้วยว่า ตามธรรมเนียมการปกครองแบบประชาธิปไตย เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว คุณทักษิณจะปกป้องดูแลประโยชน์สุขของคนไทยทุกคน รวมทั้งผู้ที่ไม่ได้เลือกพรรคไทยรักไทย ซึ่งมีผมรวมอยู่ด้วย

เกือบห้าปีที่ผ่านไป ผมได้เห็นและยุติได้ด้วยตนเองว่า คุณทักษิณทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีได้ไม่ถึงขั้นที่ผมหวัง

เอาเรื่องที่ผมนึกว่าง่ายที่สุดและน่าจะเป็นหญ้าปากคอกสำหรับคุณทักษิณ คือเรื่องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้จะมีการตีฆ้องร้องป่าวเสมอว่ามีการ “ปฏิรูป” ราชการตำรวจ แต่จนบัดนี้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างก็คือการเปลี่ยนชื่อและ “เกลี่ย” ตำแหน่งเท่านั้น บุคลากรตำรวจยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ที่สำคัญก็คือยังไม่มีการประกันว่า ผู้ที่มีความรู้ความสามารถจะได้รับการพิจารณาให้ได้รับตำแหน่งที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของตน ตรงกันข้าม การวิ่งเต้นเข้าหาผู้มีอำนาจยังเป็นวิธีเลื่อนตำแหน่งของตำรวจที่ได้ผลแน่นอนอยู่อย่างเคย

ระบบคุณธรรม (merit system) ยังไม่เกิดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

เมื่อคุณทักษิณประกาศอย่างแข็งกร้าวว่าจะปราบปรามผู้ลักลอบค้ายาเสพติดให้โทษอย่างเด็ดขาดนั้น ใครต่อใครพากันแซ่ซ้องสรรเสริญ ผมทำได้แค่เตือนตำรวจที่ฟังคำบรรยายของผมว่า ตำรวจทำได้อย่าง “เด็ดขาด” เพียงเท่าที่กฎหมายอนุญาตเท่านั้น เกินกว่านั้นไม่ได้ แต่ก็ปรากฏว่ามีผู้ต้องสงสัยตายเพราะ “วิสามัญฆาตกรรม” เป็นจำนวนมาก ศาลไม่มีโอกาสจะได้พิจารณาโทษคนเหล่านั้น แต่จนบัดนี้ ยาเสพติดให้โทษก็ยังไม่หมด มีแต่โฆษณาของสถานีวิทยุโทรทัศน์บางสถานีเท่านั้น ที่หลับหูหลับตาเชิญชวนให้ผู้ชมช่วยกันป้องกันยาเสพติด ไม่ให้มันกลับมาเมืองไทย ทั้งๆ ที่มันยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน

อีกอย่างหนึ่งที่คุณทักษิณก็ประกาศกร้าวว่าจะปราบปรามอย่างเด็ดขาดเหมือนกัน แต่คุณทักษิณกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า คือคอร์รัปชั่น หรือการทุจริต โดยเฉพาะรายใหญ่ๆ สำคัญๆ คุณทักษิณเคยคุยว่า เรื่องคอร์รัปชั่นนี้ หากเกิดขึ้นคุณทักษิณจะจัดการกับผู้ผิดโดยไม่คอย “ใบเสร็จ” แต่แล้วก็ปรากฏว่าคุณทักษิณไม่ทำอะไรใครเลย มิหนำซ้ำคนที่ประวัติเคยมีราคีคาว ก็กลับได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ เสียด้วย

เรื่องการขายหุ้นของกลุ่มชินคอร์ปโดยปลอดภาษีนั้น ผมยอมเชื่ออย่างที่คุณทักษิณอ้างแล้วอ้างอีกว่าเป็นไปตามกฎหมาย (โดยแนบเนียน) จริงๆ แต่ที่ผมยอมรับไม่ได้นั้นก็คือ การที่ธุรกิจของชินคอร์ปแข็งแรงและเติบโตขึ้นมาด้วยสัมปทานและอภิสิทธิ์ที่สงวนไว้เพื่อสนับสนุนธุรกิจของคนไทยโดยเฉพาะ แล้วครอบครัวของคุณทักษิณก็เอาชินคอร์ปไปขายให้แก่ต่างประเทศ

ที่ผมถือว่าเป็นการตบหน้าผมและคนไทยอื่นๆ ทั้งประเทศนั้น คือเมื่อดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร “ไทยคม” ถูกขายไปพร้อมกับชินคอร์ป ชื่อ “ไทยคม” นั้นเป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ.2534 ตอนนั้นผมเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกภูมิใจที่เมืองไทยก้าวหน้าจนมีดาวเทียมกับเขาด้วย ผมปลื้มใจแทนคุณทักษิณและตระกูล “ชินวัตร” เมื่อในปีถัดมา (2535) เห็นข่าวสมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปทรงวางศิลาฤกษ์สถานีควบคุมดาวเทียม “ไทยคม” ที่จังหวัดนนทบุรี ต่อมาอีกสองปี (พ.ศ.2537) ผมก็ปลื้มใจอีกเมื่อได้เห็นข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯไปทรงเปิดและทอดพระเนตรการสาธิตกิจการของสถานีควบคุมดาวเทียมแห่งนั้น และรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯไปทอดพระเนตรกิจการของสถานีด้วยอีกพระองค์หนึ่ง

ผมไม่เคยนึกฝันว่า วันนี้ “ไทยคม” จะกลายเป็น “สิงคโปร์คม”

ผมยังมีเหตุผลอีกหลายอย่าง แต่เพียงแค่นี้ ผมก็อยากเห็นคุณทักษิณพ้นตำแหน่ง และไม่อยากเห็นคุณทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกแล้วละครับ