ชักจะหมดความอดทนขึ้นเืรื่อยๆ แล้ว จนไม่มีอารมณ์จะเรียบเรียงความคิดออกมาเป็นตัวอักษร… ขอแปะข่าวน่าหดหู่บางเรื่องมาแบ่งปันทุกท่าน ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ดูเหมือนจะกำัลังใช้วิธี ‘มักง่าย’ ในทำนองเดียวกันกับรัฐบาลชุดที่แล้ว ในการแก้ปัญหาภาคใต้ คือพยายามใช้เงินมาแก้ปัญหาที่แก้ด้วยเงินไม่ได้ (ยังไม่นับว่าความที่มันเป็น ‘งบลับ’ ก็แปลว่าสามารถเอาไปใช้ทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย โดยที่ไม่มีใครรู้เห็นหรือตรวจสอบได้)
ระหว่างนี้ผู้เขียนขอไปสงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะนำข้อคิดจากการสอนหนังสือมาโพสในลำดับต่อไป
ทหารกำลังบ้าอำนาจ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังกลายเป็นมิคสัญญี ประชาชนกำลังเหลืออดขึ้นเรื่อยๆ กับสถานการณ์ที่ใช้ศัพท์ของอ. ส.ศิวรักษ์ เรียกให้เห็นภาพชัดเจนที่สุดว่า ‘อัปรีย์ไป จัญไรมา’ แต่ตลาดหุ้นยังขึ้นเอาๆ ไม่หยุด เพราะสิ่งเดียวที่นักลงทุนแคร์ คือ “เสถียรภาพ” และ “ความแน่นอน” ทางการเมืองเท่านั้น…
…แม้ว่ามันจะเป็นเสถียรภาพของเผด็จการ และความแน่นอนของอำนาจที่กดขี่ผู้อื่นใต้ปลายกระบอกปืน ปากก็พยายามสร้างความชอบธรรมด้วยการร้องขอให้คนไทย “สมานฉันท์” ไม่ต่างจากรัฐบาลที่แล้วเลยแม้แต่น้อย
อนิจจา ประเทศไทย.
จากข่าว‘กลาโหม’ ตั้งงบลับดับไฟใต้ 1.3 หมื่นล.:
…สำนักงบประมาณได้โยกงบลงทุนบางส่วนไปเป็นงบลับทางทหาร หรือเพิ่มเข้าไปเป็นงบรายจ่ายประจำของกระทรวงกลาโหม ทำให้งบลงทุนจากเดิมที่เคยตั้งไว้ถึง 25% ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด ลดเหลือเพียง 24.2% หายไป 0.8% หรือคิดเป็นวงเงินที่ลดลง 13,000 ล้านบาท จึงเป็นที่มาของการตั้งงบประมาณขาดดุลจาก 1.2 แสนล้านบาท เพิ่มเติมอีก 4.5 หมื่นล้านบาท เพื่อเพิ่มสัดส่วนงบลงทุนให้ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% เหมือนเดิม
…นายปรีชา สุวรรณทัต อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอว่า โดยหลักการแล้วถ้างบประมาณส่วนหนึ่งส่วนใดของหน่วยงานนั้นไม่เพียงพอ ก็สมควรเจียดรายจ่ายจากงบประจำที่ใช้จ่ายไม่หมด ในหน่วยงานของตนเองนั้นมาเสริมแทน ซึ่งจะทำให้ไม่มีปัญหากระทบกับเงินส่วนอื่น เพราะเป็นเงินภายในหน่วยงานเดียวกันเอง
ชักจะหมดความอดทนขึ้นเืรื่อยๆ แล้ว จนไม่มีอารมณ์จะเรียบเรียงความคิดออกมาเป็นตัวอักษร… ขอแปะข่าวน่าหดหู่บางเรื่องมาแบ่งปันทุกท่าน ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ดูเหมือนจะกำัลังใช้วิธี ‘มักง่าย’ ในทำนองเดียวกันกับรัฐบาลชุดที่แล้ว ในการแก้ปัญหาภาคใต้ คือพยายามใช้เงินมาแก้ปัญหาที่แก้ด้วยเงินไม่ได้ (ยังไม่นับว่าความที่มันเป็น ‘งบลับ’ ก็แปลว่าสามารถเอาไปใช้ทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย โดยที่ไม่มีใครรู้เห็นหรือตรวจสอบได้)
ระหว่างนี้ผู้เขียนขอไปสงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะนำข้อคิดจากการสอนหนังสือมาโพสในลำดับต่อไป
ทหารกำลังบ้าอำนาจ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังกลายเป็นมิคสัญญี ประชาชนกำลังเหลืออดขึ้นเรื่อยๆ กับสถานการณ์ที่ใช้ศัพท์ของอ. ส.ศิวรักษ์ เรียกให้เห็นภาพชัดเจนที่สุดว่า ‘อัปรีย์ไป จัญไรมา’ แต่ตลาดหุ้นยังขึ้นเอาๆ ไม่หยุด เพราะสิ่งเดียวที่นักลงทุนแคร์ คือ “เสถียรภาพ” และ “ความแน่นอน” ทางการเมืองเท่านั้น…
…แม้ว่ามันจะเป็นเสถียรภาพของเผด็จการ และความแน่นอนของอำนาจที่กดขี่ผู้อื่นใต้ปลายกระบอกปืน ปากก็พยายามสร้างความชอบธรรมด้วยการร้องขอให้คนไทย “สมานฉันท์” ไม่ต่างจากรัฐบาลที่แล้วเลยแม้แต่น้อย
อนิจจา ประเทศไทย.
จากข่าว‘กลาโหม’ ตั้งงบลับดับไฟใต้ 1.3 หมื่นล.:
…สำนักงบประมาณได้โยกงบลงทุนบางส่วนไปเป็นงบลับทางทหาร หรือเพิ่มเข้าไปเป็นงบรายจ่ายประจำของกระทรวงกลาโหม ทำให้งบลงทุนจากเดิมที่เคยตั้งไว้ถึง 25% ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด ลดเหลือเพียง 24.2% หายไป 0.8% หรือคิดเป็นวงเงินที่ลดลง 13,000 ล้านบาท จึงเป็นที่มาของการตั้งงบประมาณขาดดุลจาก 1.2 แสนล้านบาท เพิ่มเติมอีก 4.5 หมื่นล้านบาท เพื่อเพิ่มสัดส่วนงบลงทุนให้ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% เหมือนเดิม
…นายปรีชา สุวรรณทัต อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอว่า โดยหลักการแล้วถ้างบประมาณส่วนหนึ่งส่วนใดของหน่วยงานนั้นไม่เพียงพอ ก็สมควรเจียดรายจ่ายจากงบประจำที่ใช้จ่ายไม่หมด ในหน่วยงานของตนเองนั้นมาเสริมแทน ซึ่งจะทำให้ไม่มีปัญหากระทบกับเงินส่วนอื่น เพราะเป็นเงินภายในหน่วยงานเดียวกันเอง
“เท่าที่ผมทราบข่าวมา การเพิ่มงบของกระทรวงกลาโหมเป็นการนำเงินงบประมาณจากรายการอื่นๆ มาเพิ่มในส่วนของงบกองทัพ คือ ไม่ได้เป็นเงินในหน่วยงานเดียวกันเอง ซึ่งถ้าเป็นเงินนอกงบประมาณ ก็จะไม่มีโอกาสรู้ หรือตรวจสอบได้เลย โดยเหตุผลที่ทหารนำมาอ้าง คือ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเมื่อนำเหตุผลนี้มาอ้างก็มักจะไม่มีใครคัดค้าน เพราะสถานการณ์มันรุนแรงจริงๆ แต่ในความจริงแล้ว กระทรวงกลาโหม มีงบลับที่สามารถใช้กับภารกิจนี้อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ละเหล่าทัพมีงบมากมายมหาศาลในแต่ละปี ซึ่งก็น่าจะเพียงพอกับภารกิจในการแก้ไขปัญหาภาคใต้”
นายปรีชา ยังแสดงความเป็นห่วงว่า เกรงว่าฝ่ายทหารจะโอนเงินงบประมาณไปอยู่ในส่วนที่เป็นงบลับ ซึ่งถ้าทำเช่นนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และประชาชนทั่วไปจะไม่สามารถตรวจสอบได้เลย เพราะแม้แต่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ก็ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบงบลับ โดยการโอนเงินลักษณะนี้สามารถทำได้เพียงแค่ใช้มติ ครม.เท่านั้น ซึ่งในยุคนี้ ถ้าจะทำก็ง่าย เพราะรัฐบาลก็มาจากทหาร…
จากข่าวเปิดใจแกนนำนักศึกษาฯ ในภารกิจ “ยึดมัสยิดปัตตานี”, ตั้ง 45 กรรมการพิสูจน์ 21 ข้อกล่าวหาทหารฆ่ามุสลิมใต้ี และ“สถานการณ์3 จชต. จะขยายตัวรุนแรงหากจนท.รัฐ ยังใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา” ตูแวดานียา:
(ภาพจาก สำนักข่าวชาวบ้าน)
…กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ได้ยอมสลายการชุมนุมแล้ว ในเช้าวันนี้ หลังจากปักหลักชุมนุมมาเป็นเวลา 5 วัน ระบุพอใจที่รัฐตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จากการกระทำของจนท.รัฐ
…นายตูแวดานียา [ตูแวแมแง ประธานเครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน] เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้มีเป็นกิจกรรมของนักศึกษามุสลิมที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ 4 – 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันประกอบด้วย ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สตูล และสงขลา และกระจายตัวไปศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในพื้นที่และที่ส่วนกลาง ที่ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่มาตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา และต่างให้ความสนใจและเป็นกังวลต่อสถานการณ์ที่นับวันจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ
…ความคืบหน้าของการเจรจาระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับตัวแทนฝ่ายทางการนั้น หลังจากที่ฝ่ายรัฐรับข้อเสนอที่จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามาที่กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องนั้น ได้ข้อสรุปว่า จะมีการร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นของผลการเจรจา ซึ่งระบุว่า จะให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 (ผอ.รมน.ภาค 4) แต่งตั้งคณะกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรม เพื่อร่วมตรวจสอบกรณีเหตุต่างๆ ที่ทางกลุ่มผู้ชุมนุมตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ… ในจำนวนนี้เป็นสัดส่วนที่เสนอโดยผู้ชุมนุม 29 คน เสนอโดยรัฐ 16 คน
…คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีอันควรแก่การสงสัยว่าประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอความร่วมมือต่อหน่วยงานต่างๆ ให้มาชี้แจงหรือตอบข้อซักถาม รวมทั้งส่งมอบเอกสารตามขอบเขตของกฎหมาย จัดทำรายงานสรุปเพื่อเสนอต่อ ผอ.รมน.ภาค 4 เพื่อดำเนินการต่อไป เป็นต้น
สำหรับเหตุการณ์ที่ตัวแทนนักศึกษาได้ยื่นข้อมูลที่จะให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง มี 21 กรณี เช่น การกราดยิงชาวบ้านเสียชีวิต 4 รายที่บ้านบาสาลาแป ตำบลปะแต อำเภอยะหา จังหวัดยะลา เหตุการกราดยิงศูนย์ดะวะ ตำบลกาตอง อำเภอยะหา เหตุการณ์ยิงถล่มปอเนาะบ้านควนหรัน อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เป็นต้น
นายตูแวดานียากล่าวว่าเหตุร้ายในพื้นที่หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการกระทำของจนท.รัฐ อย่างเช่นกรณีเหตุร้ายที่บ.บานา ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาที่มีทหารยิงเยาวชนจากหมู่บ้านดังกล่าวเสียชีวิต หรือกรณีที่ชรบ. ยิงชาวบ้านเสียชีวิตที่ บ.ภักดี อ.บันนังสตา เหตุร้ายที่เกิดขึ้นไม่ได้มีการดำเนินคดีให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้าน
“รัฐบาลประกาศใช้นโยบายสมานฉันท์ในการแก้ปัญหา แต่ดูเหมือนว่าแนวทางปฏิบัติกลับสวนทางกัน มีเหตุร้ายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการยิงใส่ชาวบ้านที่ร้านน้ำชา หรือการขว้างระเบิดใส่มัสยิด ซึ่งเป็นเรื่องที่คนมุสลิมจะไม่กระทำแม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นคนเลวร้ายเพียงใด เพราะมัสยิดเป็นบ้านของพระเจ้า เช่นเดียวกับการที่ไทยพุทธจะไม่ทำลายวัด นอกจากนี้ยังมีการตั้งนายทหารที่มือเปื้อนเลือดจากเหตุการณ์กรือเซะ มาแก้ปัญหาในพื้นที่ สิ่งเหล่านี้บอกให้เห็นว่าการกระทำและการปฏิบัติสวนทางกัน พวกเราจึงไม่มีความมั่นใจในแนวทางสมานฉันท์ของรัฐบาล” นายตูแวดานียา กล่าวในอีกตอนหนึ่งระหว่างการพูดคุย