บทวิจารณ์หนัง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” (ภาคพิสดาร)

** คำเตือน: กรุณาอย่าอ่านหากยังมิได้รับชมภาพยนต์เรื่องนี้ เพราะสปอยเลอร์เพียบ **

ข้าพเจ้าเปนผู้หนึ่งที่ได้มีโอกาสชมอภิมหาภาพยนต์แห่งสยามประเทศ ฉายา “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” แลได้เปนปลื้มอิ่มเอมใจยิ่งนักว่าเ็ปนศิลปะชิ้นเอก ทัศนาอย่างจำเริญเจริญใจตลอดเพลาสามชั่วยาม หาได้มีความเยิ่นเย้อชวนนิทราเฉกเช่น “สุริโยทัย” ไม่ แม้ว่าขาทั้งสองของข้าพเจ้าจะเกิดอาการเหน็บกินมิแ้พ้คราที่ดูเรื่องนั้น แ้ื้ท้จริงแล้วก่อนเข้าโรง จิตใจของข้าพเจ้าประหวั่นปั่นป่วนมิใช่น้อย ด้วยเกรงว่าภาพยนต์ชิ้นนี้จะยกย่องเอกบุรุษชนชั้นนำตามสะไตล์โรแยลลิสม์จนเกินเหตุผลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฎ ตลอดจนความเปนไปได้ในโลกแห่งความจริงที่มนุษย์ิิทุกชนชั้นต่างก็เปนปุถุชนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มิได้มีอิทธิฤทธิ์อภินิหารปานทวยเทพในสวรรค์

ข้าพเจ้ายินดีที่จะเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบอย่างตื่นเต้นฟูมฟาย (แม้ท่านอาจจะมิัพักอยากทราบก็ตาม) ว่า หลังจากดูภาพยนต์เสร็จสิ้นลง ความกังวลข้างต้นของข้าพเ้จ้าก็ทุเลาลงเปนอันมาก เนื่องด้วยครานี้ท่านมุ้ยมิได้ฉายภาพเจ้าเมืององค์ต่างๆ เฉกเช่นเทวดาผู้ปราศโมหะ ฤาเปี่ยมไปด้วยความเดียงสาในทางการเมืองจนปักใจเชื่อว่า “สยาม” นั้นเปนปึกแผ่นดินแดนเดียวกันมาตั้งแต่ยุคจูราสสิก หากอรรถาธิบายโดยภาพเคลื่อนไหวอย่างแจ่มชัดแจ้งใจว่า เจ้าเมืองต่างๆ ล้วนย่อมทำการด้วยประโยชน์โภชผลแห่งเมืองตัวเองเปนที่ตั้ง ซึ่งหมายว่าบางคราต้องจำยอมสวามิภักดิ์ฤาคบค้าสมาคมกับอริศัตรูในอดีตเพื่อรักษาบ้านเมืองในอนาคต (ชะรอยการที่ท่านมุ้ยใช้ลิขิตทางประวัติศาสตร์เหลือคณานับ แลหลักฐานความเปนไปได้ทางธรณีวิทยาในการเขียนสะคริปต์ภาพยนต์ มีบันทึกของวัน วลิต เปนอาทิ จะเปนเหตุผลหนึ่งที่ภาพยนต์เรื่องนี้ฉายเหตุการณ์ในทางสมจริง แลมีเหตุผลดูดีกว่าที่ข้าพเจ้ากริ่งเกรงไว้หะแรกเปนอันมาก) แม้ว่าัตัวเอกบางรายจะสำแดงอภินิหารเกินมนุษย์ธรรมดา เช่นฉากเณรกระโดดถีบคนร้ายกลางสะพาน ซึ่งดูจากน้ำหนักเณรแล้วมิควรเปนไปได้ ฤาฉากมหาเถรขว้างเคียวไปค้ำคอเด็กบุญทิ้งติดต้นไม้ ข้าพเจ้าก็ต้องยอมรับว่าฉากเหล่านั้นไม่เห่ย หากเท่เสียเต็มประดาจนข้าพเจ้าเต็มใจจะ ซัซเปนด์ ดิสบีลีฟ ตลอดเพลาที่นั่งเปนเหน็บอยู่ในโรง

(ข้อติเพียงประการเดียวที่ข้าพเจ้ายังติดใจมิรู้ลืมคือ หากท่านยาขอบยังมีชีวิตอยู่แลได้ทัศนาภาพยนต์เรื่องนี้ คงกลัดกลุ้มทรมานใจมิใช่น้อยที่เหนบุเรงนอง ผู้ชนะสิบทิศ ประพฤติตนเยี่ยงคนเสียลิ้นสิ้นลายคาซาโนวาพม่า ชั้นเชิงใดๆ ที่ท่านยาขอบเคยจดจารให้บุเรงนองของท่านยิงศรปักใจคนอ่านมาแล้วนักต่อนัก กลับถูกแทนที่โดยบทเกี้ยวดาษๆ ชวนโอ๊ก เลี่ยนประมาณสุกรสามชั้น ราวกับลอกบทละครหลังข่าวช่องเจ็ดมาก็ไม่ปาน เปนที่น่าเสียดายแผ่นฟิล์มและหนวดงามๆ ของบุเรงนองยิ่งนัก)


** คำเตือน: กรุณาอย่าอ่านหากยังมิได้รับชมภาพยนต์เรื่องนี้ เพราะสปอยเลอร์เพียบ **

ข้าพเจ้าเปนผู้หนึ่งที่ได้มีโอกาสชมอภิมหาภาพยนต์แห่งสยามประเทศ ฉายา “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” แลได้เปนปลื้มอิ่มเอมใจยิ่งนักว่าเ็ปนศิลปะชิ้นเอก ทัศนาอย่างจำเริญเจริญใจตลอดเพลาสามชั่วยาม หาได้มีความเยิ่นเย้อชวนนิทราเฉกเช่น “สุริโยทัย” ไม่ แม้ว่าขาทั้งสองของข้าพเจ้าจะเกิดอาการเหน็บกินมิแ้พ้คราที่ดูเรื่องนั้น แ้ื้ท้จริงแล้วก่อนเข้าโรง จิตใจของข้าพเจ้าประหวั่นปั่นป่วนมิใช่น้อย ด้วยเกรงว่าภาพยนต์ชิ้นนี้จะยกย่องเอกบุรุษชนชั้นนำตามสะไตล์โรแยลลิสม์จนเกินเหตุผลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฎ ตลอดจนความเปนไปได้ในโลกแห่งความจริงที่มนุษย์ิิทุกชนชั้นต่างก็เปนปุถุชนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มิได้มีอิทธิฤทธิ์อภินิหารปานทวยเทพในสวรรค์

ข้าพเจ้ายินดีที่จะเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบอย่างตื่นเต้นฟูมฟาย (แม้ท่านอาจจะมิัพักอยากทราบก็ตาม) ว่า หลังจากดูภาพยนต์เสร็จสิ้นลง ความกังวลข้างต้นของข้าพเ้จ้าก็ทุเลาลงเปนอันมาก เนื่องด้วยครานี้ท่านมุ้ยมิได้ฉายภาพเจ้าเมืององค์ต่างๆ เฉกเช่นเทวดาผู้ปราศโมหะ ฤาเปี่ยมไปด้วยความเดียงสาในทางการเมืองจนปักใจเชื่อว่า “สยาม” นั้นเปนปึกแผ่นดินแดนเดียวกันมาตั้งแต่ยุคจูราสสิก หากอรรถาธิบายโดยภาพเคลื่อนไหวอย่างแจ่มชัดแจ้งใจว่า เจ้าเมืองต่างๆ ล้วนย่อมทำการด้วยประโยชน์โภชผลแห่งเมืองตัวเองเปนที่ตั้ง ซึ่งหมายว่าบางคราต้องจำยอมสวามิภักดิ์ฤาคบค้าสมาคมกับอริศัตรูในอดีตเพื่อรักษาบ้านเมืองในอนาคต (ชะรอยการที่ท่านมุ้ยใช้ลิขิตทางประวัติศาสตร์เหลือคณานับ แลหลักฐานความเปนไปได้ทางธรณีวิทยาในการเขียนสะคริปต์ภาพยนต์ มีบันทึกของวัน วลิต เปนอาทิ จะเปนเหตุผลหนึ่งที่ภาพยนต์เรื่องนี้ฉายเหตุการณ์ในทางสมจริง แลมีเหตุผลดูดีกว่าที่ข้าพเจ้ากริ่งเกรงไว้หะแรกเปนอันมาก) แม้ว่าัตัวเอกบางรายจะสำแดงอภินิหารเกินมนุษย์ธรรมดา เช่นฉากเณรกระโดดถีบคนร้ายกลางสะพาน ซึ่งดูจากน้ำหนักเณรแล้วมิควรเปนไปได้ ฤาฉากมหาเถรขว้างเคียวไปค้ำคอเด็กบุญทิ้งติดต้นไม้ ข้าพเจ้าก็ต้องยอมรับว่าฉากเหล่านั้นไม่เห่ย หากเท่เสียเต็มประดาจนข้าพเจ้าเต็มใจจะ ซัซเปนด์ ดิสบีลีฟ ตลอดเพลาที่นั่งเปนเหน็บอยู่ในโรง

(ข้อติเพียงประการเดียวที่ข้าพเจ้ายังติดใจมิรู้ลืมคือ หากท่านยาขอบยังมีชีวิตอยู่แลได้ทัศนาภาพยนต์เรื่องนี้ คงกลัดกลุ้มทรมานใจมิใช่น้อยที่เหนบุเรงนอง ผู้ชนะสิบทิศ ประพฤติตนเยี่ยงคนเสียลิ้นสิ้นลายคาซาโนวาพม่า ชั้นเชิงใดๆ ที่ท่านยาขอบเคยจดจารให้บุเรงนองของท่านยิงศรปักใจคนอ่านมาแล้วนักต่อนัก กลับถูกแทนที่โดยบทเกี้ยวดาษๆ ชวนโอ๊ก เลี่ยนประมาณสุกรสามชั้น ราวกับลอกบทละครหลังข่าวช่องเจ็ดมาก็ไม่ปาน เปนที่น่าเสียดายแผ่นฟิล์มและหนวดงามๆ ของบุเรงนองยิ่งนัก)

หลังจากที่ได้อิ่มเอมกับภาพยนต์ เมื่อเช้าขณะจิบกาแฟแลอ่านหนังสือพิมพ์ยามเช้าตามปกติวิสัย ข้าพเจ้าก็ได้พานพบบทวิจารณ์ภาพยนต์ภาคพิสดาร ซึ่งหะแรกเปนกระทู้ในเวบพันทิบ โพสโดยคุณ cybrarian บทวิจารณ์นี้นอกจากจะทำความบันเทิงหฤหรรษ์ให้ข้าพเจ้าได้อิ่มเอมกับภาพยนต์เปนคำรบสอง ก็ยังเปนแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าพยายามถ่ายทอดความรู้สึกแลความประทับใจ เปนภาษาโบราณประมาณคุณ cybrarian ในบล็อกนี้ดุจเดียวกัน แม้นว่าความสามารถของข้าพเจ้ายังมิถึงขนาด ผิว์ว่าได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของฝีปากกาคุณ cybrarian แล้วไซร้ ข้าพเจ้าก็คงจะยินดีเปนล้นพ้น นอนหลับสบายไปอีกหลายเพลาเปนแน่แท้เทียว

เพื่อมิให้เปนการเสียเวลา ฤาให้ทุกท่านต้องทนทรมานกับความพยายามจะลอกเลียนแบบของข้าพเจ้าต่อไป ข้าพเจ้าจึ่งขออัญเชิญบทวิจารณ์อันหาคำบรรยายมิได้ของคุณ cybrarian มาประดับไว้เปนเกียรติแก่บล็อกนี้สืบไป ในบัดเดี๋ยวนี้เทอญ:

……

วิจารณ์แหลก!! ภาคองค์ประกันหงสา (สะปอยละเอียดยิบ)

ศุภมัสดุ พุทธกาลล่วงแล้วได้ 2550 พรรษา บัดนี้ตำนานแห่งองค์สมเด็จพระนเรศวรเปนเจ้า จากที่เคยอ่านเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา แลเปนยาขมของนักเรียนที่แสนจะเบื่อหน่ายประวัติศาสตร์ ก็กลายภาคมาเปนมหรสพภาพยนต์เคลื่อนไหว จะแจ้ง

องค์พระนเรศที่เคยเห็นแต่ประทับอยู่ ณ ดอนเจดีย์ แลทุ่งมะขามหย่อง บัดนี้ก็เสด็จมาอยู่ใกล้ชิดไพร่ฟ้าประชาชี ตามแก้วน้ำแลกระป๋อง ข้าวโพดคั่ว ตลอดจนปกแมกกาซีน ให้หาซื้อมาบูชาเป็นสิริมงคล ก็ด้วยฝีพระหัตถ์ (มิใช่ฝีที่ขึ้นบนพระหัตถ์หากแต่เปนความปรีชา) ของท่านผู้กำกับที่ฝากฝีพระหัตถ์(ซึ่งก็มิใช่พวกฝีหัวช้างหรือฝีมะม่วงอันใดเช่นกัน) ไว้ในผลงานภาพยนต์แห่งสยามประเทศเรื่องก่อน คือ “สุริโยทัย”

ข้าพเจ้าเองเปนแฟนภาพยนต์สุริโยทัยแลติดอกติดใจกับฝีพระหัตถ์ของท่านมุ้ยเปนยิ่ง ครั้นทราบความว่า ทรงกำกับภาพยนต์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ยืดยาวเปนถึงสามภาคให้เต็มอิ่มก็ยินดีนัก วันนี้จึ่งได้ฤกษ์อันพระโหราให้ไว้ ว่ามิได้เปนวันกาลี โลกาวินาศ อุบาทว์ ทุรยศแลไปดูชมจักมิได้พบพวกผีประจำโรงให้เคืองขัดเหมือนท่านทั้งปวงที่เจอมา ว่าแล้วจึงรัดเครื่องตามอย่างประเพณีไปยังโรงมหรสพ เอสเอฟ เซนทรั่นเวินเพลาบ่าย ชะรอยวันนี้จะเปนวันธงไชย ทั้งโรงมีคนจำนวนน้อยข้าพเจ้าจึงได้เสพชม แลนำมาเล่าวิจารณ์ สำราญปากตามประสาคนรักท่านมุ้ยเหมือนกัน ดังนี้

ภาพยนต์เปิดตัวด้วยคำพากย์บรรยายเสียงหวานไม่ใคร่คุ้น แลเสียงนี้ก็สอดแทรกบรรยายอยู่ทั้งเรื่อง หากได้ยินแต่เสียง ข้าพเจ้าจึงได้จินตนาการไปว่า หล่อนคงเป็นสาวสมัยใหม่นุ่งสะเกิ๊ต ทาปากแดงแจ๋ แลดูเปนสาวผู้ประกาศตามห้างมาบุญครองนั่นมากกว่า ใจก็ประหวัดไปว่าเหตุไฉนท่านมุ้ยจึงไม่เรียกหาแม่สุชาดี มณีวงศ์ แห่งรายการกระจกหกด้าน หรือจะฝ่ายชาย จะเอาท่านอำรุง แห่งรายการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง แลสารคดีเทิดพระเกียรติ ก็น่าจะฟังดูขลังกว่าเปนกองสองกอง แต่เอาเถิด ข้อนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ว่ากระไร ภาคหน้าแม่เสียงหวานของเราอาจจะแก่ชราไปตามท้องเรื่อง

จับความตามท้องเรื่อง ตอนพระเจ้ามณเฑียรทองแห่งหงษาเกตุมวดี เสด็จมาตีเอาเมืองสองแคว ข้าพเจ้าจำได้ว่าสมัยสุริโยทัย ก็มาเสด็จมารบ ตอนนั้นยังเปนอุปราชก้องสหรัถ บัดนี้ครองราชย์แล้วท่าจะว่าราชการหนักจึงทรงแก่เฮือก เปนพระเจ้าสมภพแทนขณะที่ทางฝ่ายพิษณุโลกยังเปนพระธรรมราชาฉัตรชัยเหมือนเดิม หน้าไม่ใคร่เปลี่ยน สงสัยจะทรงพระเกษมสำราญดี ผิดกับมเหสีน้องกบ พิมลรัตน์ ภาคก่อนบัดนี้เปนพระนางปวีนา ซึ่งก็หง่อมไปได้เยอะเหมือนกัน ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่าคงจะเปนเพราะดีเอนเอของวงศ์นี้เปนแน่แท้ เพราะข้างฝ่ายพระเจ้าศรันยู ก็ทรงพระเฮือก เส้นพระเจ้าหงอกเต็มพระเศียร พระราชโอรสสันติสุข แลพระธิดาน้ำผึ้งก็มิแพ้กัน ท่าจะไม่ใคร่เกษมสำราญดี

พระเจ้าสมภพหนวดงาม มีชัยแก่สองแควจึงอยากได้พระองค์ดำ ซึ่งทรงพระเจริญ(แปลว่าอ้วนแลตุ้ยเปนอัตรา)ไปเลี้ยงดูหรือพูดภาษาเราๆ ว่าไปเปนประกัน แต่องค์ดำนั้นก็หาได้เกรงกลัวไม่ ทรงรัดเครื่องอย่างกุมารทองคือไม่ใส่เสื้อ นุ่งแต่โจงไว้จุกน่าเอ็นดู แลมีกระพรวนผูกที่ข้อพระบาททั้งสอง ดังกรุ๋งกริ๋งทั้งเรื่อง ได้ฟังดังนั้นก็สีพระพักตร์เรียบเฉยยิ่งนัก ส่วนพระนางปวีนานั้นคงกลัวพระโอรสจะตกทุกข์ได้ยาก ผอมโซก็เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายแลข้าพเจ้าสงสัยว่าจะประชวรพระโรคประสาทเสียแต่ตอนนั้น เพราะตอนหลังมาเมื่อตอนทราบข่าวจากนกพิราบ SMS ที่พระน้องน้ำผึ้งส่งมา (คนละตัวกับที่ประทานให้แม่ค้าขายผ้า ซึ่งบัดนี้ ได้กลายเปนผัดเผ็ดนกตำหรับพม่ารามัญโทษฐานที่พระนางปวีนางกไม่ยอมซื้อผ้าฉะนี้) ก็ทรงวิ่งฝ่าฝนกระเซอะกระเซิงไปทูลฟ้องสวามีที่ทรงบรรทมมีนางในไม่ใส่ยกทรงพัดวีอยู่ ด้วยพระพักตร์ดำคล้ำ ราวกับโดนคุณไสยและเปียกปอนหัวยุ่ง อยู่เปนอัตรา นางในโนบราทั้งหลายเห็นเข้าก็ตกใจกรี้ดกร้าดหนีไป ทิ้งพระเจ้าฉัตรชัยตกพระทัยองค์เดียวมืดๆ

แค่นั้นพระนางปวีนายังไม่พอ พระอาการมากำเริบหนักเอาช่วงเสด็จออกขุนนาง ก็ด้วยทราบข่าวจากนกพิราบ SMS อีกแหล่ะว่าพระเจ้าสันติสุข เสด็จสวรรคตแล้ว ก็ทรงกรีดร้องกรรแสง ตรัสเลอะเลือนลืมลำดับญาติ ว่าเป็นพี่ฤาน้องกันแน่ ต่อหน้าขุนนางพม่ารามัญเปนที่เปิ่นเทิ่น ให้ชาวพันทิบตั้งกระทู้สงสัยอยู่ฉะนี้ ข้างฝ่ายพระเจ้าฉัตรชัยคงระอา แลอับอายขายพระพักตร์พอสมควรที่มีมเหสีวิปลาสเยี่ยงนี้

ฝ่ายพระเจ้าสมภพก็เสด็จมาเมืองอโยธยา ชะรอยพระองค์จะสืบเชื้อสายมาจากพราหมณ์เมืองกะลิงคราช จึงได้ทูลขอช้างเผือก เช่นพราหมณ์ขอช้างปัจจัยนาเคนทร์ฉะนี้ ข้าพเจ้าชอบฉากนี้เพราะมีการเจรจาต้าอ่วยด้วยถ้อยคำสำนวนน่าฟังยิ่ง ด้วยเปนภาษาพูดส่วนใหญ่ มิใช่ภาษาเขียนทำนองพงศาวดาร เฉกครั้งสมัยสุริโยทัยไม่ แต่ลางคำก็ยังติดอยู่ ซึ่งข้าพเจ้าก็เข้าใจด้วยเรื่องนี้ก็จัดอยู่ในสกุลช่างสุริโยทัยฉะนี้

ครั้นได้ช้างก็พาองค์ดำเสด็จกลับหงสาวดี ซึ่งแลดูคล้ายคลึงเมืองอริโซน่า เขตร้อนในสหปาลีรัฐอาเมลิกายิ่งนัก ด้วยแดดจ้าทั้งวัน สีออกส้มๆแดดๆร้อนๆ หญ้าที่ปลูกไว้ก็หงอยเฉา เสียเปนส่วนใหญ่ ต้นไม้แกรนๆ ราวบอนไซ หรือยกมาปลูกสดๆ เยี่ยงงานพืชสวนโลก ผิว์เห็นเศษฟางปลิว ดังฟิ้วววว….. มาตามลม ข้าพเจ้าคงคิดว่าฉากต่อไปต้องมีคาวบอยออกมารบกันเปนแน่ แต่เอาเถิดงวดนี้ข้าพเจ้าให้อภัย ด้วยแลดูงดงามสมจริงสมจังมีสิงห์คู่ ค่ายคูประตูหอดีงาม ผิดกับสมัยสุริโยทัย ที่ท่านคงไปว่าจ้างช่างจากค่ายสามเศียรโปรดักชั่น ผู้ชำนาญการสร้างปราสาทราชวังในละคอนจักรๆ วงศ์ๆ ช่องเจ็ดสี มีเรื่อง โม่งป่า เกราะเพชรเจ็ดสีเปนอาทิ จึงยังดูสมจริงสู้ภาคนี้มิได้ กระนั้นสกุลช่างสามเศียรฯ นี้ ยังได้ฝากผลงานไว้บ้าง ด้วยการสร้างพระเจดีย์ชะเวดากอง แลคงช่วยประหยัดอัฐฬสไปได้มากโข

ขณะดูกะลังเพลิดเพลินจำเริญใจ ชะรอยโรงมหรสพเกรงผู้ชมจักปวดกลั้นปัสสาวะมิได้ จึ่งแสร้งทำหนังขาดแลเปิดไฟส่องทาง บรรเลงมโหรีฝรั่งคลอ เปิดโอกาสให้ผู้ชมทั้งหลายลุกไปสำราญ…. เยี่ยงนี้ก็เอาเถิดจะลองเล่าให้ฟังสู่ท่านเท่านี้เสียก่อน หากประสงค์จักให้ข้าพเจ้าเล่าสู่ท่านฟังต่อจุ่งแจ้ง ด้วยข้าพเจ้าก็เกรงว่าวิจารณ์มากไปจักเปนโอษฐ์ภัย ดังมีตัวอย่างในกระทู้เบื้องล่างนี้แล้ว

แต่ข้าพเจ้านี้ขอให้สัตย์ สาบานต่อเทพยุดาฟ้าดินเปนพยานจงช่วยดู ข้าพเจ้านี้ชอบพอภาพยนต์เรื่องนี้นัก ที่วิจารณ์เล่าสู่ท่านก็ด้วยความรักแลความหลงในงานของท่านมุ้ยเปนที่ตั้ง หาได้มีเจตนาเกรียนไม่ กรุณางดโทษานุโทษเกรียนแด่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

ขอพูดถึงเรื่องฉากหน่อยเถิด ข้าพเจ้าสังเกตมาแต่สมัยสุริโยทัยแล้วว่า ท้องพระโรงแลพระตำหนักนั้น ดูกระจ้อยมิสมเมืองอโยธยาอันมีชื่อว่ามั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังแลดูปูดโปนด้วยลายสลักเรซิ่นประดับแปะ หรือจักเปนด้วยมุมกล้องก็มิล่วงรู้ด้วยเทคนิคทางภาพยนตร์ แต่ข้าพเจ้าว่าพระที่นั่งในเรื่องทวิภพ แลฉากออกขุนนางรับฑูตยอนเบาริง แห่งกรุงบริเตรนไอยิแลนด์ใหญ่ นั่นแลดูอลังการใหญ่โตนัก มิใช่เล็กน้อยคับแคบเหมือนพระที่นั่งสรรเพชญฯ เกลือกว่าไหนๆ จะเปนตำนานเสียแล้ว ก็จงทำให้ใหญ่โตอลังการเถิด คงมิมีใครด่าว่า รังแต่จะสรรเสริญไปทั่ว ข้างฝ่ายพม่ารามัญนั่นก็ปูดโปนด้วยเรซิ่นมิแพ้กัน ผิดแต่ทาทองแสบตาต่างกันเท่านั้น แต่ที่น่าน้อยใจสุดเห็นจะเปนข้างฝ่ายพระเจ้าล้านช้างร่มขาว ที่พระตำหนัก ราชมณเฑียรซอมซ่อเหลาเหย่ยิ่งนัก มีแต่ธงประดับโล่งโจ้ง แลข้าเจ้าบ่าวนายแต่งกลายคล้ายกันทั้งสิ้น ที่จะหาเครื่องประดับนั้นมีไม่ อนึ่งฉากที่ราชฑูตเข้าเฝ้าทูลขอพระนางน้ำผึ้ง ข้าพเจ้าก็ขบขันนักด้วยฑูตนั้นหยิบเอาใบลานมาอ่าน ราวกับบอกบาลี ชะรอยอาจารย์ผู้เขียนบทจะลืมว่า ฝ่ายล้านช้างนั้นเขาใช้ลายจุ้มประราชโองการ เปนหนังสือที่เขียนบนผ้าประทับตราแผ่นดินของหลวง แต่เอาเถิดออกสองฉาก ถือว่าเปนตัวประกอบเล็กน้อย มิได้ว่ากัน

พระองค์ดำตุ้ยนุ้ยนั้นเล่า ครั้นนั่งช้างหน้าบึ้งไปกับพระเจ้าสมภพ ก็ได้ไปอยู่ ณ เมืองหงษา อริโซนา แต่ข้าพเจ้าเหนว่าพระองค์ดำบีเจนี้ ลักษณะการพูดจาประดุจเด็กโรงเรียนนานาชาติ คือพูดมิชัดประการหนึ่ง พูดดุจท่องประการหนึ่ง พูดน้ำเสียงไม่มีอารมณ์ประการสอง มิเอาอย่างยายแก่ในตลาดโยเดีย ที่อ้อนวอนมิให้ขุนเดชมารีดนาทาเล้นเล่า สำเนียงตะแกออกเหน่อ ผักไห่อยุธยา ฟังดูไท๊ย ไทย แต่เอาเถิดเห็นว่าน่ารักประดุจกุมารทอง ให้อภัย

กาลต่อมาก็ได้ทรงบวชเปนสามเณรกับขรัวตาพระมหาเถรตั๊กม้อสรพงศ์ ซึ่งคงจะเปนหมื่นราชเสน่หานอกราชการเมื่อครั้งสมัยพระสุริโยทัยกลับชาติมาเกิดเปนแน่ ด้วยขรัวตาสรพงศ์นี้มีพลังวัตรสูง เอาไม้เท้าตวัดเคียวเฉียดเชือดคอไอ้บุญทิ้งเด็กวัดหัวยุ่งเปนสังกะตังผู้นั้นเกือบต้องอาบัติปาราชิก สึกหาลาเพศมาตั้งสำนักแข่งกับจางซานฟงแห่งกรุงจีน แลรู้สรรพวิชชาทั้งปวง ทั้งมีกฤติยาคมเข้มขลังเสกเป่าน้ำหมากน้ำมนต์ แลเสกชานหมากป้องกันไข้หวัดนกได้ชงัด ผิว์ไม่มรณภาพดำรงขันธ์มาจนปัจจุบัน คงได้ออกเหรียญหลายรุ่นเปนแน่แท้ ด้วยท่านั่งนั้นก็ยองย่อประดุจหลวงพ่อคูณวัดบ้านไร่ปัจจุบันนี้

ขรัวตาตั๊กม้อสรพงศ์นี้ เปนถึงพระอาจารย์ของพระเจ้าสมภพ รับนิมนต์เข้าวังมาไม่ยักกะกลัวเท้าพอง ด้วยอิฐปูชาลาหน้าวังนั้นร้อนประดุจอยู่เมืองอริโซน่าฉะนี้ ไยพระเจ้าสมภพไม่ส่งเสลี่ยงไปรับ แลกางร่มกางจ้องมิให้ร้อนหัวเล่า น่าจักเอาอย่างละคอนกรมศิลป์เพลามหาเถรกุโสดอขึ้นเสลี่ยงมีตีตะโพนมอญด้วยเปนเอิกเริก

แต่เอาเถิด ถือว่าเปนดาราคู่พระหัตถ์ท่านผู้กำกับ เล่นคราใดก็ตีบทแตกกระจุย แลพลังวัตรนั่นก็คงถ่ายทอดมายังเณรองค์ดำ ได้สำแดงพลังฝ่าเท้าไร้เงาถีบโจรอ้วนพลุ้ยกระเด็นตกสะพานสมความโง่ที่ไม่รู้ จักพกหาอาวุธ มีมีด แลดาบเปนต้น จ้วงฟันแค่นี้เรื่องจบไม่ต้องมีถึงสามภาค

แต่เอาเถอะ เรื่องนี้เปนตำนาน แลเปนพระกฤษฎาภินิหารอันมิอาจบดบัง ข้าพเจ้าเห็นว่าการที่ทรงเสด็จมาอยู่ยังกรุงหงษาแลผู้กำกับปูเรื่องให้ทรงโดนคุมเหงนั้นก็ชอบอยู่ แต่น่าจะหนักแน่นเพิ่มเติมให้มากกว่านี้ เปนต้นว่า เจ้าชายฝ่ายพม่าคู่อรินั้น นอกจากทำหน้าล้อเลียน แลร้องก่นด่าแล้ว สมควรที่จะตักบาตรด้วยกบเขียดเปนๆ แลกระทำย่ำยีต่างๆนานาให้เจ็บแค้นมากกว่านี้ อนึ่งฉากที่ชนไก่นั้นเล่าข้าพเจ้าก็ได้ยินคำว่าไก่เชลยมาแต่แรกทำให้รู้สึก ไม่เจ็บแปลบแสบถึงใจ หากได้เก็บงำคำพูดเย้ยหยันว่า – -ไก่เชลยตัวนี้เก่งนัก – – มายัดใส่ปากเจ้าชายฝ่ายพม่า หลังจากแพ้ชนไก่แล้วไซร้ จะทำให้องค์ดำบีเจตรัสว่า แม้นไก่เชลยก็สามารถตีชิงบ้านชิงเมืองนี้ได้ ข้าพเจ้าคงกลั้นน้ำตาไว้มิอยู่แน่ แต่เอาเถิดแค่นี้สามเณรองค์ดำก็โดนหวายพลังวัตรจักรของขรัวตาตั้กม้อสรพงศ์ไปหลายแล้ว

ครั้นพาดพิงถึงเณรองค์ดำแล้วไซร้ หากจะมิกล่าวถึงไอ้บุญทิ้งผมสังกะตังก็ย่อมเปนการไม่เสมอภาพ ภราดรภาพ ทั้งปวง ข้าพเจ้าเหนว่าไอ้เด็กมิรู้หัวนอนปลายเท้าเที่ยวลักขโมยซึ่งหน้า (ไยมิลักเล็กขโมยน้อยประดุจเสือหมอบแมวเซาเล่า) เล่นหยิบขนมต้มใส่เต็มปาก เกลือกว่ามิโดนไล่ตีตายก็คงสำลักตายก่อน แต่เอาเถิดฟังการเจรจาก็ยังดีกว่าสามเณรบีเจหน่อยหนึ่ง คือฟังดูมีอารมณ์มิได้ท่อง ครั้นได้มาอยู่อารามเส้าหลินสาขาหน้าประตูโยเดียแล้วไซร้ ไยมิรู้จักกระหวัดเกล้าผมให้ดีงาม ปล่อยให้ไ้ว้กระเซอะกระเซิงสังคะตังอยู่เล่า ดีร้ายจะเอาเหามาติดเด็กมณีจันทร์ได้คันคะเยอกันทั้งภาค แต่โดยส่วนตัวข้าพเจ้าแล้วเห็นว่าเด็กหัวสังคะตังมีชื่อผู้นี้เล่นดีเปนขนาด ด้วยท่านทั้งหลายจำฉากที่ขรัวตาตั๊กม้อสรพงศ์ลงหวายสามเณรบีเจ แลเด็กบุญทิ้งไปแหมบๆ สามเณรนั้นกลับนั่งกระแทกก้นลงพื้นมิได้สะดุ้งเจ็บ ขณะที่เด็กหัวยุ่งผู้นี้แสร้งนั่งแล้วสะดุ้งเจ็บเปนที่น่าเวทนา หรือชะรอยท่านผู้กำกับจักสอดแทรกนัยยะเล่า ว่าบัดนี้สามเณรบีเจได้บรรลุวิชชาคงกะพันชาตรี หวายมิได้กระทำอันตรายแก่ก้นสามเณรไม่ ….โปรดช่วยกันพิจารณ์ดูเทอญ

เด็กบุญทิ้งมีชื่อนี้ข้าพเจ้าก็แลเห็นว่าเปนเด็กวัยมิรู้ประสา เกลือว่าโลมาคุยหฐานนั้นคงยังมิงอกเปนแน่ แต่เหตุใดเล่าจึงแก่แดดแก่ลมฉะนี้ ริอ่านคบสาวสนมนางในแลกอดในที่เปลี่ยวแลดูน่าขบขัน มิเหมือนเด็กเข้ารุ่นหนุ่ม สกุลช่างเด็กแว้นซ์ แลเด็กสะก๊อยส์ที่เราท่านพบเห็นในปรัจยุบัน น้ำเสียงนั่นรึก็ยังมิได้แตกพาน ไฉนไวไฟกำดัดแท้

อนึ่งสำนักเส้าหลินสาขาหน้าประตูโยเดียนี้ ชะรอยจะเปนสถานรับเด็กกำพร้า ประดุจวัดสระแก้ว ผิดแต่สำนักนี้สอนเพลงดาบเพลงมวย มิได้สอนลิเก ป่านฉะนี้สามเณรบีเจอาจจะดังกว่าไชยาก็เปนแน่ แลสำนักนี้ก็มีเด็กแก่นกำพร้านางหนึ่งชื่อไท๊ย ไทย ว่าเด็กมณีจันทร์ มิพักที่เกิดแต่แดนพม่ารามัญ ไยมิได้ชื่อเช่น “อะเมี้ยวโยง” หรือ “มะเมียะ” บ้างเล่า ท่านผู้มีปัญญาพึงคิดดู แต่เอาเถิดขืนสามเณรบีเจร้องเรียก “อะเมี้ยวโยง” หรือ “มะเมียะ” ป่านฉะนี้ คงได้หวัวกันทั้งเรื่อง

กล่าวแต่เด็กผู้นี้ข้าพเจ้าก็ว่าเล่นดี แม้จะเสียงหวีดเล็กเพลากรี้ดก็ตาม แต่แรกพบองค์ดำเมื่อครั้งไม่บวชนั้นร้ายนัก ถามหาแต่อัฐฬสเปนค่าผ่านประตูเหมือนเพลาแห่ขันหมาก แลชอบวิ่งเล่นซุกซนไปหลบซ่อนในวัดร้างงูชุมจนมันฉกกัด เดชะบุญสามเณรบีเจผ่านมาช่วยแก้ไขไว้ได้ทัน จนอาบัติปาจิตตีย์ ด้วยสัมผัสมาตุคามต้องอยู่กรรมอดเพลหรือไม่ในภาพยนต์มิได้สำแดงไว้ ครั้งนั้นกระมังที่ท่านผู้กำกับปูไว้ให้มีใจปฏิพัทธ์ต่อเณรบีเจ ประดุจนางพิมพิลาไลย มีใจต่อเณรแก้ว ผิดแต่นางพิมพ์นั้นโตแล้วหน้าใจมิได้แบนราบ ส่วนเณรแก้วนั้นก็นมแตกพาน แลได้ถวายเพลที่ไร่ฝ้ายซึ่งเปนคนละเรื่องกัน

เด็กมณีจันทร์นี้ภายหลังได้เข้าไปอยู่ในวิทยาลัยนาฏศิลป์อันมีพระนางเกรซเปนผอ. แลวิทยาลัยนี้ชะรอยจะจ้างเด็กมัธยมต้นแถวๆกองถ่ายมาเข้าฉาก ด้วยแลเห็น เด็กไว้ผมทรงนักเรียนนุ่งโจงแดงแปร๋น กะลัง ทิง โจ้งทิง จ๊ะ ทิงโจ้งทิงกันอยู่ แลดูขัดตายิ่งนัก จากที่ผู้กำกับปูไว้ตรงนี้ ท่านทั้งหลายจุ่งรอดูภาคหน้าเถิด จักเห็นมรดกทางวัฒนธรรมที่นางมณีจันทร์ได้เรียนรู้มาแต่วิทยาลัยนาฏศิลป์หงษา คือรำพม่ากลองยาว พม่ารำขวาน เปนอาทิ

กล่าวฝ่ายพระนางเกรซมั่งเถิด อันพระนางนี้โดนชาวพันทิบทั้งปวงติเตียนว่าพระพักตร์สูงอายุ (แก่) แต่ข้าพเจ้าก็มิรู้สึกอันใด ด้วยประจักษ์แน่ชัดว่า พระนางเกรซคงได้สืบดีเอนเอ ทางสายโลหิตฝ่ายพระราชมารดาปวีณาไว้เข้มข้น ดูเอาเถิดภาคพระสุริโยทัยคุณหญิงต้นนั่นก็เฮือกใช่เล่นที่ใดเล่า ที่เห็นขัดตาคงจะเป็นผมทรงใหม่ที่มิอาจพบได้ในสมัยสุริโยทัย คือผมประบ่าอ่าเอี่ยมไร แต่คุณฃวฅ สะไตลหลีด แล เมกอับแอทีส คงมิได้อ่านหนังสือคุณชายคึกฤทธิ์ เรื่องขุนช้างขุนแผนฉบับอ่านใหม่ ในนั้นจารนัยเรื่องทรงผมนี้ไว้แน่ชัดว่าเปนเยี่ยงไร กล่าวโดยย่อคือผมข้างบนเปนปีก มีการถอนไรผมเปนวงรอบ แลผมที่ประบ่าจะงอนขึ้นมิยาวเฟื้อยลากหลังฉะนี้ แต่เอาเถิดเหนใจด้วยว่าฉากต่อมาต้องทาหน้าขาวประดุจหุ่นกระบอก แต้มลิ้นจี่ปากแดง ต้องเกล้าโองขโดงซึ่งภาคนี้เยื้องไปด้านหลังไม่ตั้งกลางกระหม่อมเช่นสมัยพระสุริโยทัย แต่ความที่พระนางเกรซทรงมีพระแก้มที่ย้อย เพลากล้องจับหน้าตรงๆ จึงเราท่านเห็นเปนน่าสะพรึง บางท่านก็อดหวัวมิได้ แต่ข้าพเจ้ากลับเห็นว่าสวยดี

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายในพันทิบต่างเห็นพ้องว่าพระนางเกรซนี้เล่นมิได้อารมณ์แลกระทำตลกหลายเพลา แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วพระนางเกรซก็เล่นใช้ได้ สุ้มเสียงน่าฟัง หากมิทำท่าตกพระทัยตอนออกญามีชื่อ โดนลงโทษานุโทษข้อหาขายชาติ จะให้ดีข้าพเจ้าว่าควรเลียนแบบพระนางปวีนาคือกรีดร้องขึ้นกลางวง จักได้หวัวมากกว่านี้

อนึ่งมีผู้กล่าวว่าพระนางเกรซนี้แลดูสูงวัยกว่าพระองค์ดำเมื่อเทียบกัน อันที่จริงจะกล่าวเยี่ยงนั้นก็มิถูกนัก พระนางเกรซนี้เหมาะสมแล้ว สามเณรองค์ดำนั้นเล่าที่โตช้าด้วยฉันสองเพลาขาดวิตามิน รอดูภาคหน้าเถิด มิทันไรพระพักตร์จะเฮือกเสมอกัน

อนึ่งหลายท่านชี้ชวนให้หวัวกันตรงฉากที่พระเจ้าสมภพตั้งนิคเนมให้พระนางเกรซว่า “อะเมี้ยวโยง” ตรงนี้ข้าพเจ้าก็เหนว่าปรกติไป สมัยนี้ท่านทั้งหลายก็ยังตั้งชื่อให้กับแฟนตนเปนภาษาต่างด้าวท้าวต่างแดนมิใช่หรือ มี “ดาหลิง” “มายเดีย” “เบบี๋” เปนอาทิ

ขัดใจข้าพเจ้าหน่อยเดียวที่ฝ่ายพม่ารามัญนั้นประเดี๋ยวเจรจาเปนพม่ารามัญบ้าง บัดเดี๋ยวไทยบ้าง อย่างตอนนางในพม่านุ่งซิ่นลุนตะยาเอาตะลุ่มมายังตำหนักพระนางเกรซ พลางแจ้งข่าวแก่คุณท้าววรจันทร์เปนภาษาพม่า ไยมิเจรจาเปนไทยเล่าหรือจะเปนพม่าทั้งหมดก็เอาเถิด เหมือนอย่างบทร้องเพลงฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตาที่ว่า

– – ล้ายูเมตาเมี้ย สศู่เค สู่เค สู่เค ล้า โอ้ลาซินเย้ ขิ่น ขิ่น เลมาโล๊ะ ขิ่น ขิ่น เลมาโล๊ะ ซูเบาตูหู กระตกกระแตบาโล๊ะ เวลายูหูโอเมลา ซ่อยตองปู ปู่เลเลเส โอมะเบ่ เฮ เฮ เฮ เฮ่ มิส่ตามาตาบ่า เล๊ะ ดีเมาเซท แกละแม่กวา ดีเมาเซท แกละแม่กวา 🙂
บีลา กันทา ซองซวยไล โอดีและแมวาตอย ยียอยไม
ส่วนด้านกวาแดะ ปู่เลเส โอนิสันเลเบ่ ปู่เลเส เซนิเก เบมาเบ
คีตาแมวแย เจาพีจะซีกระแตเตียวโจ คงนุชานุเว
แต่เวลา ยี้หงี่ อย่าแส ยี่หงี่แง้ อย่าแส- –

แต่เอาเถิดข้าพเจ้าว่าพากย์ไทยนั่นแลดีงามแล้ว มิเช่นนั้นอาจจะได้ทำคำบรรยายให้เอิกเริกอีก

อนึ่งท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงพิจารณ์เถิด ไฉนภาพยนต์แห่งสยามประเทศของเราเรื่องนี้จึ่งพากันจุดไต้ คบเพลิงแลชวาลากันเอิกเริกปานนั้น ราวกับมีบุญประเพณีเผาเทียนเล่นไฟฉะนี้ ควรแล้วที่ไฟจะติดไหม้พลับพลาพระเจ้าสมภพให้นางในพม่ามอญวี้ดว้ายสำราญ มิพักฉากจะเสด็จหนียังพากันจุดไต้ราวกับจะไปเล่นเพลง แต่ก็เอาเถิดเกลือกว่ามิจุดคงมิเห็นทาง งูฉกตายเรื่องจะจบเสียแต่ภาคแรกอีก

กล่าวความไม่สมจริงประการหนึ่งคือฉากส่งตัวพระนางน้ำผึ้งไปล้านช้างร่มขาว ด้วยคนตามเสด็จนี้น้อยนิด แม้นหนทางจากอโยธยาไปล้านช้างนั้นก็ไกล คุมกันไปเพียงนี้มิต้องรอท่าดักปล้นดอก ไปชิงเอาเมื่อหมดแรงก็ย่อมได้ เกลือกว่าเปนราชธิดาแห่งอโยธยาแล้วไซร้ พระเจ้าศรัณยู ก็ควรชอบที่จะแต่งสมบัติ มีแพรพรรณ เครื่องเพชรทองเปนอาทิ ส่งไปด้วย แลแต่งข้าหลวงไปเปนจำนวนมาก แต่ก็เอาเถิดช่วงสงครามหาคนตามเสด็จได้เพียงนั้นก็ดีแล้ว

ข้อที่ว่าเรื่องภาคนี้เยิ่นเย้อนั้นข้าพเจ้าไม่เหนด้วย เหตุว่าข้าพเจ้าเพลิดเพลินตลอดสามชั่วยามมิรู้เบื่อ แลคิดเห็นว่ายังมีอีกหลายประเด็นยังไม่แจ้ง ที่ควรไม่แจ้งกลับแจ้งฉะนี้

แต่เอาเถิด ครั้นเหนเณรบีเจสึกหาลาเพศ จะสึกกับต้นไม้เหมือนเณรแก้วนั้นไซร้ก็มิทราบ ภาพยนต์มิได้แจ้ง เห็นแต่ว่ารัดเครื่องอย่างพระเยาวราชแล้วเดินกลางดินกินกลางแพะเมืองผีหรือมิิทราบ ไยปล่อยให้พระกุมารบีเจนอนตากน้ำค้างเล่า เกลือกว่าเปนหวัดประชวรจักแย่ แต่ท้ายสุดขรัวตาตั๊กม้อสรพงศ์ก็ได้มาเจริญพรพระกุมารบีเจถึงที่ จะมาแบบพระฤาษีเกาะแก้วพิศดาร ขี่รุ้งมานั่นก็มิแจ้ง ครั้นก้มกราบแล้วก็หายแว้บอย่างผู้มีฤทธิ์จะพึงทำ คาดว่าคงมิได้เดินมาเหมือนคราวไปเฝ้าพระเจ้าสมภพเปนแน่

ท้ายแล้ว ติดใจอย่างเดียวคือเพลงปิดเปนภาษาวิลาศ ฝรั่งข้างฝ่ายบริเตรนไอรยิแลนใหญ่ มีเสียงร้องอันข้าพเจ้าแปลมิได้ ประการหนึ่งที่ทำให้สะดุดบ้าง แต่เอาเถิด ข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านผู้กำกับคงกะลังสืบสานอย่างไทย กล่าวคือเล่นเพลงออกสิบสองภาษาปิดท้าย อย่างวงดนตรีไทย แลออกภาษาสุดท้ายจักเปนเพลงสำเนียงฝรั่ง อย่างเพลงฝรั่งยีแฮม ควีนดำรัส เปนอาทิ