ตอนนี้ชาวไทยทุกคนที่ท่องเว็บคงเห็นแล้วว่า รัฐบาลไทยได้บล็อกเว็บ CNN เพราะเผยแพร่บทสัมภาษณ์อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์สั้นๆ เพียง 4 นาทีเท่านั้น กลายเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า นับวัน “นิสัยเผด็จการ” ของรัฐบาลชุดนี้ก็ยิ่งเผยออกมาเรื่อยๆ
ผู้เขียนบล็อกไม่เคยชอบทักษิณ ชินวัตร (และก็ไม่เห็นด้วยกับความเห็นบางส่วนที่ให้สัมภาษณ์ CNN ในครั้งนี้ด้วย) แต่ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า คนทุกคนควรมีสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกันในการแสดงความคิดเห็น เพราะไม่มีทางที่สังคมเราจะก้าวหน้า มีวุฒิภาวะกว่านี้ได้ ในบรรยากาศที่รัฐปิดกั้นการแสดงออก ไม่ว่าการแสดงออกนั้นจะถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี ถูกใจหรือไม่ถูกใจใครเพียงใดก็ตาม
ว่าแล้วก็ขอแปลบทสัมภาษณ์ CNN ที่ถูกแบน ไว้ในบล็อกนี้ พร้อมทั้งบทสัมภาษณ์อีกฉบับที่ยาวกว่า (ซึ่งแปลว่าน่าจะถูกบล็อกมากกว่า แต่กระทรวงไอซีทีดันไม่บล็อก) ระหว่างทักษิณกับ Wall Street Journal (WSJ) ซึ่งสงวนไว้สำหรับสมาชิก WSJ เท่านั้น เพื่อให้ทุกท่านที่สนใจได้เผยแพร่ต่อไป (ถ้าใครอยากอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ กรุณาดูได้ที่ด้านท้ายของโพสนี้)
ในโอกาสนี้ ขอเชิญชวน(อีกครั้ง)ให้ทุกท่านร่วมลงนามในคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้รัฐยุติการปิดกั้นเนื้อหาในอินเทอร์เน็ต
เพราะประชาชนไม่มีวันได้รับสิทธิเสรีภาพใดๆ อย่างแท้จริง ถ้าประชาชนไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพเหล่านั้น ต่อผู้มีอำนาจ.
(ความเห็นผู้แปลบทสัมภาษณ์ด้านล่าง ไม่มีอะไรที่ทำให้แปลกใจ แต่แหม… บางเรื่องที่พูดนี่ “หน้าไม่บาง” จังเลยแฮะ เช่น อ้างว่าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะเกิดรัฐประหาร แต่ดันขนข้าวของออกไปสิงคโปร์แล้วล่วงหน้าตั้งไม่รู้กี่ร้อยกระเป๋า หึๆ)
บทสัมภาษณ์ ทักษิณ ชินวัตร โดย CNN
สิงคโปร์ (CNN) – แดน ริเวอร์ส (Dan Rivers) ผู้สื่อข่าว CNN ได้มีโอกาสคุยกับอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ต่อไปนี้เป็นการถอดเทปจากบทสัมภาษณ์ ริเวอร์สเริ่มด้วยการถามอดีตนายกฯ ถึงข้อกล่าวหาที่ว่า เขามีส่วนร่วมในการก่อเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ เมื่อคืนวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมา
ทักษิณ: นั่นเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริงเลย ไม่มีใครเชื่อด้วย(ว่าเป็นอย่างนั้น) เพราะทุกคนรู้ว่าผมเป็นใคร ผมมาจากการเลือกตั้ง ผมมาจากประชาชน ประชาชนของเรามีบุญคุณกับผม ผมทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของประเทศและเพื่อประชาชน ผมไม่ทำอะไรโง่ๆ (แบบนั้น)
ตอนนี้ชาวไทยทุกคนที่ท่องเว็บคงเห็นแล้วว่า รัฐบาลไทยได้บล็อกเว็บ CNN เพราะเผยแพร่บทสัมภาษณ์อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์สั้นๆ เพียง 4 นาทีเท่านั้น กลายเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า นับวัน “นิสัยเผด็จการ” ของรัฐบาลชุดนี้ก็ยิ่งเผยออกมาเรื่อยๆ
ผู้เขียนบล็อกไม่เคยชอบทักษิณ ชินวัตร (และก็ไม่เห็นด้วยกับความเห็นบางส่วนที่ให้สัมภาษณ์ CNN ในครั้งนี้ด้วย) แต่ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า คนทุกคนควรมีสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกันในการแสดงความคิดเห็น เพราะไม่มีทางที่สังคมเราจะก้าวหน้า มีวุฒิภาวะกว่านี้ได้ ในบรรยากาศที่รัฐปิดกั้นการแสดงออก ไม่ว่าการแสดงออกนั้นจะถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี ถูกใจหรือไม่ถูกใจใครเพียงใดก็ตาม
ว่าแล้วก็ขอแปลบทสัมภาษณ์ CNN ที่ถูกแบน ไว้ในบล็อกนี้ พร้อมทั้งบทสัมภาษณ์อีกฉบับที่ยาวกว่า (ซึ่งแปลว่าน่าจะถูกบล็อกมากกว่า แต่กระทรวงไอซีทีดันไม่บล็อก) ระหว่างทักษิณกับ Wall Street Journal (WSJ) ซึ่งสงวนไว้สำหรับสมาชิก WSJ เท่านั้น เพื่อให้ทุกท่านที่สนใจได้เผยแพร่ต่อไป (ถ้าใครอยากอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ กรุณาดูได้ที่ด้านท้ายของโพสนี้)
ในโอกาสนี้ ขอเชิญชวน(อีกครั้ง)ให้ทุกท่านร่วมลงนามในคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้รัฐยุติการปิดกั้นเนื้อหาในอินเทอร์เน็ต
เพราะประชาชนไม่มีวันได้รับสิทธิเสรีภาพใดๆ อย่างแท้จริง ถ้าประชาชนไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพเหล่านั้น ต่อผู้มีอำนาจ.
(ความเห็นผู้แปลบทสัมภาษณ์ด้านล่าง ไม่มีอะไรที่ทำให้แปลกใจ แต่แหม… บางเรื่องที่พูดนี่ “หน้าไม่บาง” จังเลยแฮะ เช่น อ้างว่าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะเกิดรัฐประหาร แต่ดันขนข้าวของออกไปสิงคโปร์แล้วล่วงหน้าตั้งไม่รู้กี่ร้อยกระเป๋า หึๆ)
บทสัมภาษณ์ ทักษิณ ชินวัตร โดย CNN
สิงคโปร์ (CNN) – แดน ริเวอร์ส (Dan Rivers) ผู้สื่อข่าว CNN ได้มีโอกาสคุยกับอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ต่อไปนี้เป็นการถอดเทปจากบทสัมภาษณ์ ริเวอร์สเริ่มด้วยการถามอดีตนายกฯ ถึงข้อกล่าวหาที่ว่า เขามีส่วนร่วมในการก่อเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ เมื่อคืนวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมา
ทักษิณ: นั่นเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริงเลย ไม่มีใครเชื่อด้วย(ว่าเป็นอย่างนั้น) เพราะทุกคนรู้ว่าผมเป็นใคร ผมมาจากการเลือกตั้ง ผมมาจากประชาชน ประชาชนของเรามีบุญคุณกับผม ผมทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของประเทศและเพื่อประชาชน ผมไม่ทำอะไรโง่ๆ (แบบนั้น)
ริเวอร์ส: หมายความว่าคุณไม่มีส่วนร่วมเลยหรือ
ทักษิณ: ไม่เกี่ยวกับผมเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมอยากแสดงความเสียใจ ความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้ที่ต้องสูญเสียบุคคลที่รักยิ่งไป ตลอดจนผู้บาดเจ็บทุกคนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และผมคิดว่า ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกนำตัวมาลงโทษ
ริเวอร์ส: นี่เป็นครั้งแรกที่คุณให้สัมภาษณ์(สื่อ)ตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ขณะที่คุณอยู่ในอเมริกา อยู่ในกรุงนิวยอร์ค ที่สำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ตอนที่เกิดรัฐประหาร คุณรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น?
ทักษิณ: ผมรู้ประมาณสี่ถึงห้าชั่วโมงก่อนเกิดเหตุ ผมพยายามออกทีวี แต่มันเป็นเรื่องยากมากๆ ผมออกทีวีไม่ได้ ออกได้แต่ทางช่อง 9 แป๊บเดียว แต่คุณรู้ไหม ตอนนั้นรัฐประหารเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้นเอง ผมไม่เชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดได้อีกในศตวรรษที่ 21
ริเวอร์ส: แสดงว่าคุณแปลกใจเมื่อรู้ว่าเกิดรัฐประหาร?
ทักษิณ: ผมแปลกใจมาก แต่อย่างไรก็ตามนะครับ ในช่วง 70 ปีที่ผ่านมา มีรัฐประหารเกิดขึ้น 17 ครั้งในเมืองไทย มันเป็นเรื่องโชคร้ายมากๆ แต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ ในเมืองไทย
ริเวอร์ส: คุณจะกลับไปเล่นการเมืองหรือไม่?
ทักษิณ: ไม่ ไม่ (จะกลับไปเป็นการส่วนตัว…) พอก็คือพอ เมื่อคุณรับใช้ประเทศมานานกว่าหกปี คุณทำงานหนัก คุณสละเวลา สละแม้กระทั่งชีวิต แม้กระทั่งชีวิตครอบครัวของคุณ ดังนั้น ผมว่านี่เป็นเวลาที่ผมจะกลับเมืองไทยในฐานะพลเมืองธรรมดาๆ คนหนึ่ง และร่วมพัฒนาสังคมในบทบาทอื่นที่ไม่ใช่การเมือง
(ความเห็นผู้แปลบทสัมภาษณ์ด้านล่าง โดยส่วนตัว ไม่แปลกใจที่ทักษิณจะให้สัมภาษณ์แบบนี้ เพราะไม่ต่างจากแนวเดิมๆ ที่ใช้มาตลอด 5 ปี เช่น ใช้คำพูดแบบ ขาว/ดำ ประเภท “เมืองไทยต้องเป็นทุนนิยม ต้องเปิดเสรี” ราวกับว่าเมืองไทยไม่มีทางเลือกอื่น ยกเว้นจะเดินแบบ “เสรีนิยมสุดขั้ว” ซึ่งเอาเข้าจริง ก็เป็นเพียงข้ออ้างบังหน้า “ทุนนิยมพวกพ้อง” ที่รุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุครัฐบาลไทยรักไทยเท่านั้น
นอกจากจะไม่ “จี้” ให้ทักษิณตอบประเด็นยากๆ ที่คนไทยหลายคนยัง “คาใจ” ไม่หาย เช่น ซุกหุ้นจริงหรือไม่ เทมาเส็กเจรจากับใคร ฯลฯ แล้ว นักข่าว Wall Street Journal คนนี้ยังแสดงความ “ไม่รู้ทัน” ออกมาในหลายๆ ประเด็น เช่น พูดตามทักษิณว่าตามกฎหมายไทย การขายหุ้นชินคอร์ปในตลาดหุ้นไม่ต้องเสียภาษี ทั้งๆ ที่เขารู้กันมาตั้งนานแล้ว(ล่ะลุง) ว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มีหุ้นบางส่วนที่ขายนอกตลาดและต้องเสียภาษีแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ คตส. ก็ลงดาบ เรียกครอบครัวชินวัตรให้เสียภาษี และลงโทษอธิบดีกรมสรรพากรและข้าราชการอีก 4 คน ไปแล้วเรียบร้อยโรงเรียนชินวัตร)
ทักษิณบอกว่ารัฐบาลไทยกำลังใช้นโยบายเศรษฐกิจผิดพลาด
แปลจาก Thaksin Says Thai Government Is Mishandling Economic Policies โดย James Hookway, Wall Street Journal, 15 มกราคม 2550
อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกขับออกจากประเทศเมื่อเดือนกันยายน 2549 บอกว่ารัฐบาลไทยที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งนั้น กำลังใช้นโยบายเศรษฐกิจในทางที่ผิด
ในบทสัมภาษณ์อันครอบคลุมกับ Wall Street Journal เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คุณทักษิณ ซึ่งตอนนี้เลือกลี้ภัยอยู่ต่างแดน ยังบอกด้วยว่าเขาจะไม่พยายามหวนคืนสู่อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย และบอกว่า การเมืองในประเทศกำลังแผ่กลิ่นอายปกคลุมการสอบสวนคดีระเบิดที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย เมื่อคืนวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมา
คุณทักษิณกล่าวว่า เขาตัดสินใจปริปากพูด(ต่อสาธารณะ)เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 หลังจากที่นายทหารบางคนชี้ว่า ผู้สนับสนุนของเขาอาจอยู่เบื้องหลังการวางระเบิดหลายจุด ซึ่งเปลี่ยนงานเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ของกรุงเทพฯ เป็นคืนแห่งความหวาดกลัว
“พวกเขาชี้นิ้วมาที่ผม ผมก็เลยคิดว่านี่เป็นเวลาที่จะเปิดปากพูด” คุณทักษิณกล่าว และเสริมว่า ถ้าผู้สอบสวนคดีนี้จะได้รับอนุญาตให้เน้นการวิเคราะห์หลักฐาน “เราก็อาจได้เบาะแสเกี่ยวกับผู้อยู่เบื้องหลัง”
คุณทักษิณปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เกี่ยวกับการวางระเบิด และบอกว่า มันเร็วไปที่จะมองข้ามความเป็นไปได้ว่าผู้ก่อเหตุอาจเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิม ซึ่งทำสงครามกองโจรในประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 กลุ่มผู้ก่อการร้ายบางกลุ่มออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบ คุณทักษิณกล่าวว่า วิธีการจุดระเบิดในคืนวันขึ้นปีใหม่นั้น คล้ายคลึงกันกับลักษณะการวางระเบิดของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในภาคใต้ สมัยที่เขายังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่
“ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะลอบกัดใคร” ทักษิณกล่าว เมื่อถูกถามถึงข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่รัฐบาลบางคนว่า เขาหรือผู้สนับสนุนของเขามีส่วนร่วมในการวางระเบิดกรุงเทพฯ “มันไม่ใช่สไตล์ของผม สิ่งที่เกิดขึ้นมันเหี้ยมโหดเกินไป”
นอกจากนี้ คุณทักษิณยังวิพากษ์มาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้นแทนเขา เมื่อเดือนที่แล้ว เมืองไทยประกาศใช้มาตรการควบคุมการไหลเข้าของทุน เพื่อยับยั้งการแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินบาท ซึ่งทำให้การส่งออกของไทยแข่งขันได้ยากขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดให้นักลงทุนระยะสั้นที่เป็นชาวต่างชาติ ฝากเงิน 30% ของจำนวนที่ต้องการนำเข้า ในบัญชีเงินฝากที่ไม่ได้รับดอกเบี้ย ด้วยความหวังว่าจะช่วยชะลอทุนเก็งกำไร ที่เรียกว่า “เงินร้อน” ให้ไหลเข้าประเทศได้ช้าลง
มาตรการควบคุมการไหลเข้าของทุน นำไปสู่การเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อย่างมโหฬาร ทำให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 22,000 พันล้านเหรียญ – เป็นการถดถอยในหนึ่งวันที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ต่อมา ธปท. ประกาศยกเว้นการลงทุนในตลาดหุ้นให้ไม่ต้องอยู่ภายใต้มาตรการดังกล่าว แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศไทยก็ได้ถูกสั่นคลอนไปแล้ว และความเชื่อมั่นดังกล่าวก็ถูกกระทบอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลออกกฎเกณฑ์เพื่อลดระดับการควบคุมของชาวต่างชาติ ในธุรกิจบางสาขาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
“ไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ เราก็ต้องอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม” คุณทักษิณกล่าว “และการจะอยู่กับมันให้สำเร็จนั้น แปลว่าเราต้องเปิดเศรษฐกิจและสังคมของเรา การแข่งขันเป็นเรื่องที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
เขาเสริมว่า การ “กลับหลังหัน 180 องศา” ของรัฐบาล หลังจากประกาศใช้มาตรการควบคุมการไหลเข้าของทุนกับตลาดหุ้นนั้น “ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนถูกทำลาย”
“ความเชื่อใจและความเชื่อมั่น คือกฎของเกมนี้” คุณทักษิณกล่าว เขาสร้างบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จนเป็นหนึ่งในบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย ก่อนที่จะชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2544
คุณทักษิณ ซึ่งเอ่ยถึงรัฐประหารเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาถูกขับออกจากตำแหน่ง กล่าวหาว่า นายทหาร นักธุรกิจ และกลุ่มบุคคลที่เขาเรียกว่า “ชนชั้นสูงหัวเก่า” (the old elite) บางรายมีแผนที่จะขับไล่เขาออกจากตำแหน่งตั้งแต่เดือนธันวาคม 2548
คุณทักษิณอ้างว่า มีความพยายามที่จะลอบสังหารเขาถึงสามครั้งในเดือนสิงหาคม (2549) ก่อนที่ทหารตัดสินใจขับไล่เขาออกจากตำแหน่ง ขณะที่เขากำลังเข้าร่วมการประชุมประจำปีของสหประชาชาติในกรุงนิวยอร์ค ในเดือนกันยายนถัดมา เขาบอกว่า เขาคิดว่ามีทหารอยู่เบื้องหลังความพยายามลอบสังหาร แต่ไม่ระบุว่าเขาสงสัยใคร
คุณทักษิณบอกว่า เขาไม่รู้สึกเสียใจใดๆ ในสิ่งที่ทำระหว่างที่เป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงการตอบโต้กลุ่มผู้ก่อการร้ายในภาคใต้แบบรุนแรง ซึ่งทำให้กลุ่มสิทธิมนุษยชนระดับโลกโกรธแค้น
นอกจากนั้น เขายังปกป้องการขายหุ้นในบริษัทชินคอร์ปของครอบครัวชินวัตร ให้กับกลุ่มเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์ ในเดือนมกราคม 2549 ดีลนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เพราะสมาชิกในครอบครัวชินวัตรที่ขายหุ้น ไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียวในการขายหุ้นมูลค่ากว่า 1,900 ล้านเหรียญ – การขายหุ้นครั้งนี้เป็นการขายผ่านตลาดหุ้น ซึ่งกฎหมายไทยยกเว้นให้ไม่ต้องเสียภาษี คุณทักษิณบอกว่า ศัตรูทางการเมืองของเขากระพือประเด็นเหล่านี้ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการขับไล่เขาออกจากตำแหน่ง
คุณทักษิณบอกว่า เขาหวังว่าจะได้กลับเมืองไทย และยังติดต่อกับนายทหารที่ควบคุมประเทศอยู่อย่างสม่ำเสมอ “ผมพยายามพูดให้พวกเขาสบายใจว่า พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องผม” ทักษิณกล่าว
คุณทักษิณเสริมว่า เขาไม่มีความตั้งใจใดๆ ที่จะไขว่คว้าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เมื่อประชาธิปไตยหวนคืนมาสู่ประเทศ แต่จะคงยังรักษาสถานภาพสมาชิกพรรคเอาไว้
ในระหว่างนี้ คุณทักษิณบอกว่า เขาจะยังลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ เดินทางไปยังประเทศต่างๆ เยี่ยมเยือนเพื่อนฝูง และเล่นกอล์ฟ
เขาบอกว่า “หลังจากการเลือกตั้งครั้งหน้า ผมคิดว่าประชาชนคงเข้าใจผมดีขึ้น” และปรับเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวเขา “ผมเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เชื่อว่าคนทำดีย่อมได้ดีครับ”.
SINGAPORE (CNN) — CNN’s Dan Rivers spoke to ousted Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra. The following is a transcript of the interview. Rivers began by asking Shinawatra about his alleged involvement in New Year bombings in Bangkok.
Shinawatra: It’s baseless allegations. No one believes so. Because everyone knows who is, who am I. I come from election, I come from the people. I owe gratitude to our people. I do everything for the good of the country and the people. I don’t do something that’s stupid.
Rivers: So you had no involvement.
Shinawatra: Not involvement at all. But I would like to express my deep sympathy, deepest sympathy for those who lose, lost their loved ones and also all those who are injured. And the individuals who are involved must be brought to justice.
Rivers: This is the first time you’ve spoken since the coup of September the 19th, first of all, you were in the United States, in New York at the U.N., when this happened, how did you find out that this was going on?
Shinawatra: Well I find out just about four, five hours before, before it happened, but I trying to get into the television station but it’s very difficult at that time I cannot get into it until I can get into channel 9 briefly, but you know, which I, it’s a rumors at that time but I don’t believe that this can happen again in the 21st century.
Rivers: So it was surprise when it happened?
Shinawatra: It’s very surprise because you know, but anyway 70 years in Thailand, 17 coup happened is very unfortunate but it’s, it’s an event that happened here in Thailand.
Rivers: Will you go back to, back to politics?
Shinawatra: No. No. (DR: Go back as a private … ) Enough is enough. Six years you serve the countries. You been working hard. You sacrifice your time even your life. And, even your family life. So it’s, it’s time for me to go back as a private citizen. And contribute to the Thai society outside political arena.
Thaksin Says Thai Government Is Mishandling Economic Policies
By JAMES HOOKWAY, January 15, 2007 6:07 a.m.
Former Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra, ousted in a military coup last September, said the new military-installed Thai government is mishandling economic policy.
In a wide-ranging interview with The Wall Street Journal Monday, Mr. Thaksin, now in self-imposed exile, also said he won’t seek to return to power as Thailand’s prime minister and that domestic politics are clouding an investigation into bombings that killed three people in Bangkok on New Year’s Eve.
Mr. Thaksin said he decided to end his silence since the Sept. 19 coup after several Thai military officers suggested his followers may have planted a series of bombs which turned Bangkok’s New Year celebrations into a night of terror.
“They were pointing the finger at me, so I though it was now time to talk,” Mr. Thaksin said. If investigators are allowed to focus on the evidence, he added, “then we might have some clue about who did it.”
Mr. Thaksin denied any involvement in the bombings, and said it was too early to discount the possible involvement of Thai Muslim insurgents, who have been fighting a guerrilla war in the south of the predominantly Buddhist country since 2004. A number of Muslim groups have denied planted planting the bombs. The method in which the New Year’s Eve bombs were detonated, Mr. Thaksin said, resembled several of the bombings that rocked southern Thailand when he was prime minister.
“I’m not the kind of person to do anything behind the back of others,” Mr. Thaksin said, referring to the suggestions by some Thai authorities that he or his followers had a role in the New Year’s Eve bombings. “It’s not my style. What happened was just too gruesome.”
Separately, Mr. Thaksin criticized recent economic policy moves by the military-installed government which replaced him. Last month, Thailand introduced new capital controls designed to halt the rapid appreciation of the Thai baht, which was threatening to make Thai exports uncompetitive. The central bank required short-term foreign investors to deposit 30% of the money they bring into the country in non-interest bearing accounts with the central bank in the hope of slowing speculative inflows of so-called “hot money.”
The capital controls measures caused a massive sell-off at the Thai stock exchange, wiping $22 billion off the total market capitalization — its biggest ever single day loss. Investments destined for the stock exchange were later exempted from the new controls, but investors’ confidence in Thailand was badly damaged. That confidence was further eroded when the government acted to curb foreign control of business in certain sectors last week.
“Whether we like it or not, we have to live under a capitalist system,” Mr. Thaksin said. “And to live in it successfully, we have to open up our economy and our society. Competition is unavoidable so we have to prepare for it.”
He added that the government’s “180 degree about turn” on applying the capital controls to stock market investments had “destroyed confidence” among investors.
“Trust and confidence is the name of the game,” said Mr. Thaksin, who built Shin Corp. PCL, the company he founded, into one of Asia’s largest telecommunications businesses before being elected prime minister in 2001.
Describing the coup for the first time since he was ousted from office, Mr. Thaksin alleged that members of the Thai military, some business people and a shadowy group he described as “the old elite” had been conspiring to drive him from office since December 2005.
Mr. Thaksin alleged that there were three attempts to assassinate him in August before the military decided remove him from office while he was attending the United Nations general assembly in New York in September. He said he thought Thai military officials were behind the alleged assassination attempts, but didn’t specify who they might be.
Mr. Thaksin said he doesn’t regret any of the steps he took as prime minister, including his tough response to the Muslim insurgency in southern Thailand, which provoked the anger of international human rights groups.
He also defended his family’s sale of their controlling interested in Shin Corp. to the Singapore state investment company Temasek Private Holdings Pte. Ltd. in January 2006. The deal was widely criticized because Thaksin family members who sold the stake paid no taxes on the proceeds from the $1.9 billion sale – the Shin shares were sold through the Stock Exchange of Thailand and there is no capital-gains tax on such transactions in Thailand. Mr. Thaksin said his political opponents exaggerated those issues as an excuse to oust him.
He said he hopes to return to Thailand, and is regularly in contact with the military officers who now control the country. “I reassure them they shouldn’t feel worried about me,” he said.
Mr. Thaksin added that he doesn’t intend to again seek Thailand’s premiership if and when democracy is restored in Thailand, but will remain a member of his political party.
For the time being, he remain will remain in exile, traveling from country to country, visiting friends and playing golf, he said.
In time, he says, “after the next election, I think people will understand me better” and revise their opinion of him. “I believe in karma, that we’ll be rewarded for doing good things,” Mr. Thaksin said.