[อ่าน ตอนที่หนึ่ง ตอนที่สอง ตอนที่สาม ตอนที่สี่ ตอนที่ห้า และดูรูปทั้งหมดที่ถ่ายได้ที่ Flickr set หน้านี้ – จะทยอยอัพโหลดรูปใหม่ๆ ทุกวัน]
Blogger Tour 2011
วันที่ห้า: 9 เมษายน 2554
วันนี้เป็นวันแรกที่เราไม่มีฟังบรรยายที่ไหน โปรแกรมช่วงเช้าคือไปทัวร์เมืองเบอร์ลินบนรถบัส กินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วลิซ่าจะปล่อยพวกเราเป็นอิสระ แต่ถึงเวลาเธอก็ไม่วายกำชับตามประสาคนเยอรมันผู้รอบคอบแต่จริงจังกับชีวิตไปหน่อยในสายตาของคนไทยผู้ใช้ชีวิต “ช่างหัวมัน” อย่างผู้เขียน (สงสัยเหมือนกันว่าภาษาเยอรมันมีคำคำนี้ไหม เดาว่าไม่มี – ผู้รู้วานตอบที))
วันนี้เพิ่งถึงบางอ้อว่าทำไมเขาถึงจัดโปรแกรมให้ไปทัวร์เมืองเบอร์ลินวันรองสุดท้ายก่อนออกเดินทางไปแฮมบูร์ก แทนที่จะเป็นวันแรกที่เรามาถึง – ผู้ทรงคุณวุฒิและเจ้าหน้าที่รัฐคงไม่อยากมาเป็นวิทยากรหรือเลี้ยงรับรองเราในวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็เลยต้องจัดคร่อมวันหยุดแบบนี้แทน
เรื่องนี้ตอกย้ำอีกครั้งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลและผ่านการจัดการทุกกระเบียดนิ้วสำหรับคนเยอรมัน มิน่า พวกเขาถึงได้ยังไม่ค่อย “เก็ต” อินเทอร์เน็ตในความรู้สึกของผู้เขียน เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่อึกทึกโกลาหลที่คนเยอรมันเข้าไป “จัดการ” ให้ได้ดั่งใจไม่ได้ อินเทอร์เน็ตเหมือนกับป่าดงดิบ ไม่ใช่โรงงานที่เราออกแบบและควบคุมได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนและใครมีหน้าที่ทำอะไร
เช้าวันนี้เป็นวันแรกที่ลงมากินข้าวแล้วไม่เจอเพื่อนร่วมโต๊ะ (วิสักโซโน อิมาน และอาลิเชอร์) เลย คงเป็นเพราะลิซ่านัดเราเก้าโมงครึ่ง แทนที่จะเป็นแปดโมงครึ่งเหมือนวันก่อนๆ เดาว่าทุกคนคงหลับต่อ หรือไม่ก็รีบลงมากินแล้วกลับขึ้นห้อง
สังเกตมาหลายวันแล้วว่าพฤติกรรมของพวกเราในคณะไม่ค่อยเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปเท่าไหร่ คือคุยกันอยู่ดีๆ เราก็สามารถก้มหน้างุดๆ ไปง่วนอยู่กับการทวีตหรือส่งอีเมลผ่านสมาร์ทโฟนหรือโน้ตบุ๊ค ราวกับว่าวิ่งข้ามไปมาระหว่างโลกเสมือนกับโลกจริงได้ทุกเมื่อ โดยที่คนอื่นก็ไม่รู้สึกว่าเสียมารยาทเพราะตัวเองก็เป็นเหมือนกัน แต่ละวันพอจบโปรแกรม เราก็แยกย้ายกันไปทำธุระหรือท่องเที่ยวตามลำพังได้ ทุกวันก่อนถึงเวลารวมพลเราจะส่งเมสเสจและโพสข้อความคุยกันบนเฟซบุ๊ก (เจ้าภาพใจดีตั้งกลุ่ม Blogger Tour 2011 ให้) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ทำนอง “มีใครรู้บ้างว่าเช้านี้เราต้องเจอกันที่ล็อบบี้กี่โมง” “ช่วยส่งรูปฉันที่เธอถ่ายเมื่อวานมาให้หน่อย” หรือเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เช่น โอเลกเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลยูเครน ประท้วงการจับกุม ฮานา ซิงโควา กวีและนักเคลื่อนไหว เพียงเพราะเธอปิ้งไข่ล้อเลียนรัฐบาลยูเครน ชวนให้พวกเราร่วมลงนามด้วย
[อ่าน ตอนที่หนึ่ง ตอนที่สอง ตอนที่สาม ตอนที่สี่ ตอนที่ห้า และดูรูปทั้งหมดที่ถ่ายได้ที่ Flickr set หน้านี้ – จะทยอยอัพโหลดรูปใหม่ๆ ทุกวัน]
Blogger Tour 2011
วันที่ห้า: 9 เมษายน 2554
วันนี้เป็นวันแรกที่เราไม่มีฟังบรรยายที่ไหน โปรแกรมช่วงเช้าคือไปทัวร์เมืองเบอร์ลินบนรถบัส กินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วลิซ่าจะปล่อยพวกเราเป็นอิสระ แต่ถึงเวลาเธอก็ไม่วายกำชับตามประสาคนเยอรมันผู้รอบคอบแต่จริงจังกับชีวิตไปหน่อยในสายตาของคนไทยผู้ใช้ชีวิต “ช่างหัวมัน” อย่างผู้เขียน (สงสัยเหมือนกันว่าภาษาเยอรมันมีคำคำนี้ไหม เดาว่าไม่มี – ผู้รู้วานตอบที))
วันนี้เพิ่งถึงบางอ้อว่าทำไมเขาถึงจัดโปรแกรมให้ไปทัวร์เมืองเบอร์ลินวันรองสุดท้ายก่อนออกเดินทางไปแฮมบูร์ก แทนที่จะเป็นวันแรกที่เรามาถึง – ผู้ทรงคุณวุฒิและเจ้าหน้าที่รัฐคงไม่อยากมาเป็นวิทยากรหรือเลี้ยงรับรองเราในวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็เลยต้องจัดคร่อมวันหยุดแบบนี้แทน
เรื่องนี้ตอกย้ำอีกครั้งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลและผ่านการจัดการทุกกระเบียดนิ้วสำหรับคนเยอรมัน มิน่า พวกเขาถึงได้ยังไม่ค่อย “เก็ต” อินเทอร์เน็ตในความรู้สึกของผู้เขียน เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่อึกทึกโกลาหลที่คนเยอรมันเข้าไป “จัดการ” ให้ได้ดั่งใจไม่ได้ อินเทอร์เน็ตเหมือนกับป่าดงดิบ ไม่ใช่โรงงานที่เราออกแบบและควบคุมได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนและใครมีหน้าที่ทำอะไร
เช้าวันนี้เป็นวันแรกที่ลงมากินข้าวแล้วไม่เจอเพื่อนร่วมโต๊ะ (วิสักโซโน อิมาน และอาลิเชอร์) เลย คงเป็นเพราะลิซ่านัดเราเก้าโมงครึ่ง แทนที่จะเป็นแปดโมงครึ่งเหมือนวันก่อนๆ เดาว่าทุกคนคงหลับต่อ หรือไม่ก็รีบลงมากินแล้วกลับขึ้นห้อง
สังเกตมาหลายวันแล้วว่าพฤติกรรมของพวกเราในคณะไม่ค่อยเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปเท่าไหร่ คือคุยกันอยู่ดีๆ เราก็สามารถก้มหน้างุดๆ ไปง่วนอยู่กับการทวีตหรือส่งอีเมลผ่านสมาร์ทโฟนหรือโน้ตบุ๊ค ราวกับว่าวิ่งข้ามไปมาระหว่างโลกเสมือนกับโลกจริงได้ทุกเมื่อ โดยที่คนอื่นก็ไม่รู้สึกว่าเสียมารยาทเพราะตัวเองก็เป็นเหมือนกัน แต่ละวันพอจบโปรแกรม เราก็แยกย้ายกันไปทำธุระหรือท่องเที่ยวตามลำพังได้ ทุกวันก่อนถึงเวลารวมพลเราจะส่งเมสเสจและโพสข้อความคุยกันบนเฟซบุ๊ก (เจ้าภาพใจดีตั้งกลุ่ม Blogger Tour 2011 ให้) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ทำนอง “มีใครรู้บ้างว่าเช้านี้เราต้องเจอกันที่ล็อบบี้กี่โมง” “ช่วยส่งรูปฉันที่เธอถ่ายเมื่อวานมาให้หน่อย” หรือเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เช่น โอเลกเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลยูเครน ประท้วงการจับกุม ฮานา ซิงโควา กวีและนักเคลื่อนไหว เพียงเพราะเธอปิ้งไข่ล้อเลียนรัฐบาลยูเครน ชวนให้พวกเราร่วมลงนามด้วย
พูดถึงโอเลก เขาเป็นคนพูดน้อยและไม่พูดพล่ามทำเพลง แต่เป็นคนที่น่าสนใจมาก เป็นทั้งวิศวกร บล็อกเกอร์ ศิลปิน และนักข่าวในคนคนเดียว ตอนนี้เขายึดอาชีพนักข่าวเป็นหลักแต่ก็ทำอย่างอื่นทั้งหมดด้วย ชอบโพสรูปสวยๆ ที่ใช้เอฟเฟกต์แปลกๆ เข้ามาในกลุ่มเฟซบุ๊กของเรา รูปนี้เป็นตัวอย่าง (ถ่ายข้างในตึกรัฐบาลรัฐที่เราไปฟังบรรยายวันที่สาม) –
“The Matrix” ฝีมือโอเลก จากซ้ายไปขวาคือ วิจักโซโน แซมมวล ทาเร็ก และอิมาน
ทัวร์รอบเมืองเบอร์ลินบนรถบัสช่วงเช้าสนุกดี แต่ถ่ายรูปมาไม่ได้มากเพราะไกด์ไม่ค่อยหยุดรถให้ลง อธิบายตอนขับรถผ่านเฉยๆ ก็เลยถ่ายรูปไม่ค่อยทัน
ไกด์พาเราไปดู “เกาะพิพิธภัณฑ์” ใจกลางเมืองก่อน นี่คือเกาะธรรมชาติที่มีการสร้างพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ปัจจุบันเป็น World Heritage แห่งหนึ่งของยูเนสโก ซึ่งให้ทุนสนับสนุนส่วนหนึ่งในโครงการซ่อมแซมและบูรณะพิพิธภัณฑ์ ทั้งโครงการใช้เงินตั้ง 1.5 พันล้านยูโร ที่แพงขนาดนั้นเพราะพิพิธภัณฑ์หลายส่วนต้องซ่อมแซมเยอะมากหลังจากที่ถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (อย่าลืมว่าเบอร์ลินเป็นฐานที่มั่นของพรรคนาซี ยังไงๆ กองทัพสัมพันธมิตรก็ต้องทำทุกวิถีทางที่จะยึดให้ได้ถ้าอยากให้สงครามจบ) ไกด์บอกว่าตอนนี้เงินส่วนใหญ่หมดไปกับการก่อสร้างพระราชวังเดิมซึ่งถูกทำลายจนราบขึ้นมาใหม่ตรงจุดเดิม และสร้างอาคารใหม่ที่จะทำให้คนเดินไปชมคอลเล็กชั่นต่างๆ ได้สะดวกขึ้น พิพิธภัณฑ์ที่อยากไปถ้ามีเวลาชื่อพิพิธภัณฑ์ Pergamon เน้นสถาปัตยกรรมโบราณตั้งแต่ยุคบาบิโลน
เบอร์ลินมีประชากรแค่ 3.4 ล้านคน ซึ่งชาวเบอร์ลินรู้สึกว่าดีแล้วเพราะทำให้ในเมืองไม่มีปัญหารถติด และระบบขนส่งมวลชนในเมืองก็ดีมาก มีสถานีรถเมล์ รถไฟใต้ดิน และรถไฟฟ้าลอยฟ้าทั้งหมด 320 สถานี นอกจากนี้ในเบอร์ลินยังไม่มีตึกระฟ้าเหมือนเมืองใหญ่ที่อื่น อาคารที่สูงที่สุดในเมืองสูงเพียง 115 เมตรเท่านั้น รัฐบาลห้ามสร้างตึกสูงในเขตประวัติศาสตร์ รวมทั้งบนเกาะพิพิธภัณฑ์ด้วย
หน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์ Pergamon ไกด์ชี้ให้เราดูบ้าน (ที่จริงต้องเรียกว่า อาคารห้องแถวแบบยุโรป) สีเหลืองนวลตรงข้ามพอดี นี่คือบ้านของ แองเจลา เมอร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมัน ประเทศนี้แตกต่างจากหลายประเทศตรงที่ไม่มีที่พำนักพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง หลังจากที่ใครได้รับตำแหน่งแล้วก็จะอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองตามเดิม ฉะนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเยือน Pergamon บางครั้งจะเห็นและพูดคุยทักทายเมอร์เคลได้ ไม่มีตำรวจองครักษ์คอยล้อมหน้าล้อมหลังแต่อย่างใด
รถบัสขับผ่านจัตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางเกาะพิพิธภัณฑ์ ไกด์บอกว่าบนพื้นมีอนุสรณ์สถานชื่อ “Empty Library” (ห้องสมุดอันว่างเปล่า) ณ จุดที่มีการก่อบอนไฟเผาหนังสือครั้งมโหฬารที่สุดในศตวรรษที่ 20 ในปี 1933 เมื่อฮิตเลอร์สั่งให้เผาหนังสือทั้งหมดที่เขียนโดยชาวยิวและนักคิดฝ่ายซ้าย เป็นจุดเริ่มต้นของการฆ่าล้างโคตรชาวยิวต่อมา
ผู้เขียนรู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องเผาหนังสือ ขนาดตอนเป็นแค่นักอ่านยังรู้สึกแย่ ตอนนี้เป็นนักเขียนแล้วยิ่งเจ็บใจและแค้นใจคนทำ
อนุสรณ์นี้เป็นฝีมือศิลปินชาวอิสราเอล มิสชา อุลแมน (Mischa Ullman) แต่เรามองจากบนรถไม่เห็น อนุสรณ์นี้อยู่ใต้ดิน ตอนกลางวันคนจะไม่ค่อยสังเกตเห็น เห็นแต่หน้าต่างกับป้ายบนพื้นดินที่มีข้อความของ ไฮน์ริช ไฮน์ (Heinrich Heine) ว่า
“Where one burns books, it is only a prelude; in the end one also burns people.”
(เวลาที่ใครเผาหนังสือ นั่นคือแค่อารัมภบท สุดท้ายเขาผู้นั้นจะเผาทำลายผู้คนด้วย”)
ตอนกลางคืนจะมีแสงไฟส่องผ่านกระจกบนพื้นดิน ถ้าคนชะโงกลงไปจะเห็นห้องสมุดที่ผนังทุกด้านเต็มไปด้วยหิ้งสีขาวจากพื้นจรดเพดาน แต่ไม่มีหนังสือสักเล่มอยู่บนหิ้ง
(การเผาทำลายหนังสือปี 1933 พรรคนาซีถ่ายวีดีโอเก็บไว้ ดูบรรยากาศและกองเพลิงได้ที่เว็บ US Holocaust Memorial Museum)
เป็นอนุสรณ์ที่มีพลังมากทีเดียว
เราขับรถเข้าไปในเขตที่อยู่อาศัยสมัยที่เบอร์ลินยังถูกแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเบอร์ลินตะวันตกกับเบอร์ลินตะวันออก ตามอุดมการณ์ที่แตกต่างกันของผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่สอง คือสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต สังเกตว่าอาคารที่พักอาศัยหน้าตาคล้ายกันหมด ไกด์บอกว่าหลายส่วนรัฐบาลเยอรมันตะวันออกจงใจก๊อปปี้สไตล์ของอาคารในรัสเซียยุคสตาลินมา และมีการโฆษณาชวนเชื่อตลกๆ หลายเรื่อง เช่น เปิดร้านอาหารเรียงกันเป็นตับในชั้นล่างของอาคารที่พัก ตั้งชื่อตามเมืองของประเทศในยุโรปตะวันออก ที่อยู่ใต้การปกครองของคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น เช่น วอร์ซอวา (ตามชื่อ วอร์ซอว์ เมืองหลวงของโปแลนด์) ประมาณว่าเป็นการสร้าง “ภราดรภาพ” ระหว่างเยอรมนีตะวันออกกับยุโรปตะวันออก และโฆษณาว่า ข้าก็มีพรรคพวกเยอะเหมือนกันนะเว้ย
โรงงานหลายแห่งในเขตเบอร์ลินตะวันออกตอนนี้ถูกดัดแปลงกลายเป็นคลับสำหรับดนตรีอินดี้และปาร์ตี้ทางเลือกต่างๆ น่าเสียดายที่เราไม่มีเวลาเข้าไปดูบรรยากาศข้างใน ไกด์บอกว่าค่อนข้างฮิตในกลุ่มวัยรุ่นของเมืองนี้
รถเราขับผ่านอนุสรณ์สถานอีกแห่งหนึ่ง ตั้งชื่อตรงตัวมากคือ Memorial to the Murdered Jews of Europe ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ ปีเตอร์ ไอเซ็นมันน์ (Peter Eisenmann) เป็นแท่งคอนกรีตสูงต่ำไม่เท่ากันจำนวน 2,711 อัน วางเป็นแนว คนที่เข้าไปดูในนี้มักจะออกมาด้วยความรู้สึกสับสน และบ่นว่า “ไม่เห็นเข้าใจเลย” แต่คำตอบของสถาปนิกคือ ความสับสนและไม่เข้าใจนั่นแหละคือสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ – เราจะ “เข้าใจ” การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนกว่า 6 ล้านคนได้อย่างไร?
นอกจากนี้ การจัดวางแท่งคอนกรีตในตารางที่ดูเหมือนจะเป็นระบบ ยังสื่อให้เห็นว่าความเป็นระบบระเบียบสามารถหลุดออกจากความเป็นเหตุเป็นผลได้ ไม่จำเป็นที่ระบบระเบียบจะเป็นเหตุเป็นผลเสมอไป ชาติที่มีระบบระเบียบมากอย่างเยอรมนีช่วงหนึ่งยังตกอยู่ภายใต้การปกครองของระบบเผด็จการที่โหดร้ายทารุณจนอธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผลอะไรเลย
Memorial to the Murdered Jews of Europe
(หน้านี้มีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับอนุสรณ์สถานอีกหลายแห่งในเบอร์ลิน)
หลังจากที่รถวิ่งวนอยู่ในเบอร์ลินตะวันออกสักพักก็มาถึงเวลาที่พวกเราทุกคนรอคอย – การได้ไปเยือนซากที่เหลืออยู่ของกำแพงเบอร์ลิน ซึ่งอันที่จริงไม่ได้มีกำแพงเดียว แต่เป็นกำแพงคู่ พื้นที่ตรงกลางสมัยก่อนไม่ได้เป็นพื้นที่รกชัฏเหมือนกับ DMZ ที่คั่นกลางระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ แต่มีตึกรามบ้านช่องด้วย ไกด์บอกว่าคนที่อาศัยอยู่ติดกำแพงในเบอร์ลินตะวันออกจะต้องคอยรายงานตัวกับตำรวจ ตัวเขาเองก็โตมาในตึกแบบนี้ ตอนเด็กๆ มองจากหน้าต่างออกไปเห็นเบอร์ลินฝั่งตะวันตกทุกวัน แต่ข้ามไปไม่ได้
(ตลกร้ายเกี่ยวกับ DMZ ในเกาหลีเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนเรียนรู้จากหนังสือเรื่อง The World Without Us โดย Alan Weisman คือ เนื่องจากมันรกมากเพราะไม่มีใครไปสร้างอะไร มันก็เลยกลายเป็นระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์มาก มีกระทั่งนกหายากบางชนิด)
ซากกำแพงเบอร์ลินที่ยังหลงเหลืออยู่ในเบอร์ลิน (หลังถูกรื้อในปี 1989) มีอยู่ 6 ที่ แต่จุดที่เราไปดูเป็นซากที่เหลืออยู่เยอะที่สุด คือยาวประมาณ 1.3 กิโลเมตร ดัดแปลงกำแพงเป็นพื้นที่ศิลปะ ตั้งชื่อว่า East Side Gallery เชิญศิลปิน 106 คนจากทั่วโลกให้มาวาดภาพบนกำแพง ตอนนี้เลยกลายเป็นแกลอรีนอกสถานที่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ผลงานของศิลปินและคนที่ไม่น่าจะใช่ศิลปินแต่ผู้เขียนชอบ บางภาพที่ถ่ายมา –
ก่อนจบรายการทัวร์ช่วงเช้า ไกด์พาเราเดินเข้าไปดู Sony Center ที่ผู้เขียนกับบังจูมุน วลาดา โอเลก กับซาโบช เดิน(ไกล)ไปหาอะไรกินกันเมื่อวันก่อน (แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้กินอะไร เพราะคิดว่าแพงเกินเพราะมีแต่ร้านสำหรับนักท่องเที่ยว เลยเดินกลับมาแถวโรงแรม) อธิบายว่าตึกนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการก่อสร้างในพื้นที่ที่เคยเป็นกำแพงเบอร์ลิน รัฐบาลเยอรมันอยากให้มีคนมาสร้างอย่างเร่งด่วน เพราะกำแพงเบอร์ลินเคยพาดผ่านใจกลางเมืองพอดี พอถูกรื้อมันก็เลยดูแปลกมากที่ใจกลางเมืองไม่มีอะไรเลย ดังนั้นรัฐบาลจึงเชิญชวนให้บริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ มาก่อสร้างอาคารสำนักงานหรือช็อปปิ้งมอลล์ในพื้นที่นี้
วิธีที่เขาพัฒนาโครงการนี้สะท้อนความก้าวหน้าของประชาธิปไตยในเยอรมนีได้ดีมาก คือพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าได้ “รับฟัง” เสียงจากผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างรอบด้านแล้วจริงๆ ทั้งนักลงทุน บริษัท ชาวเมือง และนักประวัติศาสตร์ เสร็จแล้วก็หาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
ยกตัวอย่างเช่น หน้า Sony Center มีร้านอาหารดั้งเดิมแห่งหนึ่งที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ แทนที่จะรื้อทิ้ง เขาอนุรักษ์เอาไว้ในกระจกใส ให้คนข้างนอกมองเข้ามาได้ แล้วสร้างตึกแบบสมัยใหม่ข้างบนอีกที ผลลัพธ์ก็ออกมาอย่างที่เห็นในรูปนี้ ผู้เขียนคิดว่าเก่ากับใหม่อยู่คู่กันได้อย่างกลมกลืนดี –
เก่าในใหม่
โดมใน Sony Center ตั้งใจจะเลียนแบบภูเขาฟูจิ คนเบอร์ลินเลยเรียกชื่อเล่นว่า “เบอร์ลิน ฟูจิยามา” ตอนกลางคืนเปิดไฟสวยดี (รูปด้านล่างถ่ายวันก่อน)
บังจูมูนบอกว่า เขารู้สึกแปลกใจที่รัฐบาลเยอรมันยอมให้ชาวต่างชาติมาสร้างสัญลักษณ์ของประเทศอื่นไว้ตรงใจกลางเมือง ถ้าโซนี่จะทำแบบนี้ในกรุงโซลที่เกาหลีใต้รับรองว่าทำไม่ได้แน่นอน เพราะคนเกาหลีใต้จะไม่ยอม
เบอร์ลิน ฟูจิยามา
กว่าจะจบทัวร์ก็เที่ยงพอดี ลิซ่าพาเราไปทานอาหารที่ร้านตรงหัวมุมลาน ตรงหน้าประตู Brandenberg อันโด่งดังพอดี สั่งไส้กรอกใส่ผงกะหรี่ เรียกว่า currywurst บ๋อยบอกว่าเขาพยายามตกแต่งผงกะหรี่ในซอสมะเขือเทศให้เป็นโลโก้ของร้านอาหาร แต่ทำไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่ (มันคงยากไปหน่อย)
หลังอาหารเที่ยงเป็นเวลาอิสระของพวกเรา ผู้เขียน อาลี และทาเร็กตัดสินใจไปดูพิพิธภัณฑ์ยิวด้วยกัน เพราะได้ข่าวว่าทำใหม่หมด จากที่เคยเป็นตึกเก่า กลายเป็นตึกทันสมัยที่ได้สถาปนิกระดับโลกมาออกแบบให้
ไม่รู้จะอธิบายประสบการณ์ในพิพิธภัณฑ์ยิวอย่างไร คงต้องไปดูเองถึงจะเข้าใจความรู้สึก แต่บอกได้คำเดียวว่า สถาปนิกคือ แดเนียล ลีเบอร์สไคน์ (Daniel Libeskind) ประสบความสำเร็จในการออกแบบตัวอาคารและพื้นที่จัดแสดงให้คนดูได้เข้าถึงเศษเสี้ยวของความสับสน ความโศกเศร้า ความเจ็บปวด ความกดดัน และความสูญเสียที่ชาวยิวต้องประสบ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพิพิธภัณฑ์นี้เล่าประวัติศาสตร์ของชาวยิวในเยอรมนีได้อย่างครอบคลุมครบถ้วน เริ่มตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาลจนถึงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยให้ความสำคัญกับเรื่องราวของคนธรรมดาสามัญอย่างทัดเทียมกับ “คนสำคัญ” ทั้งหลาย
นับว่าทีนี่นำพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แบบดั้งเดิมที่มุ่งให้ความรู้ มาผสมผสานกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แบบใหม่ที่สร้าง “อารมณ์ร่วม” ด้วยงานศิลปะและสถาปัตยกรรมของตัวอาคารเอง ได้อย่างกลมกลืนและน่าทึ่ง ไม่แสดงสำนึกผิดต่อความเลวร้ายในอดีตของตัวเองจน “ฟูมฟาย” เกินพอดีอย่างพิพิธภัณฑ์ Branly ในฝรั่งเศส
ในพิพิธภัณฑ์ยิว ฉากนิทรรศการอันหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากคือ ด้านหนึ่งแสดงความคิดและการเคลื่อนไหวของปัญญาชน “ยิวกระแสหลัก” ที่ต้องการให้คนยิวด้วยกันสามัคคี และหลอมรวม (assimilate) เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเยอรมัน (“we are a people, one people”) ส่วนอีกด้านหนึ่งแสดงความคิดและการเคลื่อนไหวของปัญญาชนอีกฝ่ายที่ต้องการ “ปฏิวัติ” สังคม อย่างเช่น คาร์ล มาร์กซ์ เป็นต้น (“we need the revolution”)
วันนี้ท่องเมืองเบอร์ลินได้เพียงเสี้ยวเดียว เนื่องด้วยเวลามีจำกัด แต่เสี้ยวนั้นก็ทำให้รู้สึกประทับใจว่า เยอรมนีเป็นประเทศที่ไม่หลบหนีความจริง อนุรักษ์ทั้งเรื่องดีงามและเรื่องเลวร้ายที่ไม่อยากจดจำ (ยุคนาซี) ของตัวเองเอาไว้ให้ลูกหลานได้เรียนรู้ นอกจากนั้นยังนำเสนอความจริงจากทุกด้านทุกเวลาที่ทำได้
แน่นอน กว่าเขาจะทำอย่างนี้ได้ สังคมเยอรมันย่อมต้องผ่านช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งแบ่งขั้ว และช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดทรมานนานข้ามทศวรรษ แต่ประเด็นสำคัญคือ สังคมสามารถข้ามพ้นจุดนั้นมาได้ ไม่จมปลักอยู่ในวังวนแห่งความเกลียดชังหรือแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเสียจนประวัติศาสตร์ถูกลดสภาพ เป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อที่เขียนโดยฝ่าย “ชนะ” เท่านั้น
หวังว่าวันหนึ่งในอนาคต สังคมไทยจะมีวุฒิภาวะเท่ากับสังคมเยอรมัน พร้อมใจกันอนุรักษ์หน้าที่เลวร้ายในประวัติศาสตร์ และนำเสนอความจริงจากทุกด้านให้ลูกหลานได้เรียนรู้