Not exactly an impossible dream after all…

ทักษิณ ชินวัตร วันที่ 4 เมษายน 2549

“ผมขอแสดงความยินดีกับประเทศไทยที่รักษาประชาธิปไตยไว้ได้ โดยประชาชน 28 ล้านคนไปเลือกตั้งและพี่น้อง 16 ล้านคนให้ความไว้วางใจผม แต่ผมจำเป็นอย่างยิ่งที่กราบขอโทษที่ไม่สามารถรับตำแหน่งนายกได้ เพราะผมคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นเพราะถ้าเรามัวแต่เอาชนะกันเอง แต่ประเทศจะเป็นผู้แพ้ตามพระราชดำรัสเมื่อพฤษภาคม 2535…

…พี่น้องครับผมต้องกราบขอโทษจริง ๆ ที่จะไม่ขอรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากเปิดประชุมสภา หลังจากครบ 30 วันจากการเลือกตั้งแล้ว

ผมมีเหตุผลที่จำเป็นที่จะไม่รับ เพราะว่าปีนี้เป็นมหามงคลยิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ จากนี้ไปมาถึง 60 วันเราไม่มีเวลาจะทะเลาะกันแล้ว…

…เหลืออีกเพียง 60 กว่าวันเศษ บ้านเมืองยังหาข้อยุติไม่ได้ และไม่เป็นการดี เพราะจะมีพระราชอาคันตุกะจะเสด็จมา

ผมคิดว่าผมขอถอยโดยการไม่รับตำแหน่งนายกฯ แต่ผมจำเป็นต้องรักษาการตามรธน. 215 ผมต้องรักษาการไปจนถึงการมีนายกรัฐมนตรีหลังสภาครบ 500 ผมจะรักษาการไปจนถึงวันนั้น และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และวิงวอนพี่น้องคนไทยทั้งชาติว่าวันนี้เราเสียสละกันคนละเล็กละน้อย”

(อ่านคำแถลงเต็มๆ ได้ที่ หน้านี้ของเว็บประชาไท)

…..

ไม่ใช่ แถลงการณ์ในฝัน ของตัวเองทีเดียวนัก เพราะทักษิณยัง…

…ยืนกรานที่จะเป็น “นายกฯ รักษาการ” ต่อไปจนกว่าจะเปิดสภาได้
…อ้างเรื่อง “สมานฉันท์” มากลบเกลื่อนประเด็น “วิกฤติศรัทธา” ส่วนตัว ที่จำต้องมีการตรวจสอบและสอบสวน โดยองค์กรอิสระและศาลที่ไม่ถูกครอบงำ (ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ จนกว่าการปฏิรูปรัฐธรรมนูญจะเสร็จสิ้นลง)
…อ้างว่าการเลือกตั้งคือสิ่งที่ “รักษา” ระบอบประชาธิปไตยไว้ได้ ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ เพราะเป็นผลสืบเนื่องมาจากการยุบสภาหนีการซักฟอก และผู้ชุมนุมต่อต้านก็ชุมนุมอย่างสันติมาโดยตลอด อยู่ในกรอบของระบอบประชาธิปไตยทุกประการ
…อ้าง “สถาบันกษัตริย์” เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทุกฝ่ายควรหันมา “สมานฉันท์” กัน แปลกพอควรที่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเรื่องความจงรักภักดีขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่ 24 ชั่วโมงที่แล้วตอนออกทีวีช่อง 11 ไม่เห็นพูดถึง อากัปกิริยาเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แสดงว่าอาจไปได้ยินเสียงกระซิบที่ไหนซักแห่ง…
…พูดย้ำว่า “ประชาธิปไตยต้องเป็นเรื่องของคนส่วนใหญ่” ทั้งๆ ที่การยอมรับฟังความคิดเห็นของเสียงส่วนน้อย และกลไกตรวจสอบถ่วงดุล เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่านี่คือ “ชัยชนะ” ก้าวสำคัญของการเมืองภาคประชาชน และต้องขอบคุณทักษิณ ที่ท้ายที่สุดก็แสดง “สปิริต” (ที่เจือความเจ้าเล่ห์แสนกล) ออกมาให้เห็น แม้หนทางบนถนนประชาธิปไตยของเรายังอยู่อีกยาวไกล เห็นชัดในวันนี้ว่าเรากำลังมาถูกทาง อย่างแน่วแน่และมั่นคง ขอขอบคุณเพื่อนร่วมชุมนุมทุกๆ คน ที่มีส่วนทำให้วันนี้เกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ำเราต้องทำอีกเยอะ รวมทั้งการป้องกันไม่ให้เกิด “สภาโจ๊ก” (ควรเพิ่มแรงกดดันต่อกกต.) การเริ่มตรวจสอบพฤติกรรมของทักษิณอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะด้วยการใช้คณะกรรมการตรวจสอบเฉพาะกิจ หรือรอองค์กรอิสระชุดใหม่หลังปฎิรูปรัฐธรรมนูญ การหาวิธีป้องกันหรือควบคุม “นายกฯ นอมินี” หรือแม้กระทั่งการกลับมาเป็น “นายกฯ ตลอดกาล” ของทักษิณในอนาคต ฯลฯ

ไว้ค่อยคิด ตอนนี้ขอตัวไปฉลองต่อก่อน 🙂