ฉันคือนักวิทยาศาสตร์จอมพิโรธ

แปลจาก I Am A Mad Scientist โดย Kate Marvel นักวิทยาศาสตร์สภาพภูมิอากาศ (climate scientist) ประจำ NASA Goddard Institute for Space Studies และ Columbia University

ฉันได้ยินประโยคนี้สองสามครั้งแล้ว จากนักข่าว จากเพื่อน และจากเพื่อนบ้าน เธอคงมีความสุขนะช่วงนี้ นัยยะของพวกเขาก็คือ ในเมื่อฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์สภาพภูมิอากาศ ฉันคงตื่นเต้นกับห้วงเวลานี้ เวลาที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถดถอยทั้งคู่ ดาวเคราะห์โลกเรากำลังเยียวยาตัวเอง พวกเขาบอก ธรรมชาติกำลังกลับคืนมา ทำไมฉันจึงไม่ดีใจล่ะ? 

นี่แน่ะเพื่อนๆ ฉันไม่มีความสุขแน่ๆ ฉันไม่เศร้าใจด้วยซ้ำ ความรู้สึกเหนือสิ่งอื่นใดของฉันก็คือ ฉันโกรธ

ฉันโกรธกับความคิดที่ว่าอาจมีข่าวดีภายใต้ข่าวร้ายทั้งมวล จริงๆ มันไม่มีหรอกนะ ก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์น่ะอยู่ได้นานมากในชั้นบรรยากาศ นานเสียจนการลดการปล่อยคาร์บอนเล็กน้อยจะไม่ส่งผลอะไรต่อการเพิ่มขึ้นมหาศาลของก๊าซนี้ ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเปิดศักราชเป็นต้นมา ความเดือดร้อนแสนสาหัสที่เรากำลังเผชิญหน้าจะไม่ทำให้โลกเย็นลงแต่อย่างใด ถ้าหากคุณภาพอากาศวันนี้ดีขึ้น ถ้าหากว่ามีคนตายน้อยลงจากการสูดมลพิษเข้าไป นั่นก็ไม่ใช่พัฒนาการที่น่ายินดี เท่ากับเป็นคำพิพากษาสถานะที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้

ฉันโกรธนักการเมืองที่สร้างสถานะดั้งเดิมแบบนั้น ฉันโกรธที่พวกเขาไม่แยแสนักวิทยาศาสตร์ เห็นแก่ความก้าวหน้าในอาชีพหรือกระเป๋าสตางค์ของตัวเองมากกว่าความอยู่รอดของพลเมืองของพวกเขา น่าโมโหที่ต้องเห็นอวิชชาที่เกิดขึ้นอย่างจงใจและดูถูกถากถางคนอื่น ประณามแบบจำลอง (ราวกับว่ามีด้วยเหรอ วิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนแบบจำลอง ไม่ว่าจะเรียบง่ายหรือซับซ้อนปานใด) และหยิบความไม่แน่นอนมาใช้เป็นอาวุธ แบบจำลองการระบาดของโรคเหมือนกับแบบจำลองระบบสภาพภูมิอากาศตรงที่มันเป็นวิธีสำรวจอนาคตที่แตกต่างหลากหลาย และผลกระทบของการตัดสินใจด้วยตัวเลือกต่างๆ …มันเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ลูกแก้วพยากรณ์ แต่หัวใจของแบบจำลองที่มีประโยชน์ทั้งหมดคือสัจธรรม ข้อเท็จจริงที่หนีไม่พ้น ข้อเท็จจริงที่ว่ามวลและพลังงานไม่หายไปไหน ก๊าซเรือนกระจกปิดกั้นความร้อน และไวรัสสามารถเปลี่ยนเซลล์ที่มันเข้าไปฝังตัวให้กลายเป็นโรงงานผลิตซ้ำตัวเอง ข้อมูลลวง ข่าวลือ และความเกลียดชังอาจแพร่กระจายเป็นไวรัลได้ แต่ไม่มีอะไรหรอกที่แพร่กระจายได้เก่งกว่าตัวไวรัสเอง นักการเมืองมีอำนาจ แต่วิทยาศาสตร์คือความจริง

ฉันโกรธบรรดานักวิทยาศาสตร์ด้วย หรืออย่างน้อยก็โกรธสถาบันที่ว่าจ้างพวกเขา ฉันโกรธวัฒนธรรมของความเปราะบางและความกลัวที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์หงอ สยบยอม และไม่กล้าพูดความจริงต่อหน้าอำนาจ ฉันโกรธที่การพูดความจริงต่อหน้าใครก็ตาม ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีอำนาจ ถูกบอกว่าไม่ควรทำยกเว้นมันจะนำมาซึ่งการได้รับการตีพิมพ์ เงินอุดหนุนการวิจัย หรือรางวัลอื่นๆ ที่ทำให้ประวัติสวยหรูดูดี ใครจะอยากฟังนักวิทยาศาสตร์ ถ้าหากว่าพวกเราเองกลัวเกินกว่าที่จะเปล่งเสียง?

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ฉันโกรธกับนัยยะที่ว่า “เรา” คือตัวปัญหา เรื่องราวแย่ๆ ที่แพร่หลายในสังคมไม่หยุดหย่อนก็คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิกาศและโรคระบาดนั้นไม่ได้เกิดจากก๊าซเรือนกระจกและไวรัส แต่เกิดจากธรรมชาติมนุษย์ เราโลภมากอยากได้อาหาร ที่อยู่อาศัย การผจญภัย การเติมเต็มตัวตน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และ เรื่องราวนี้บอกว่า เราต้องถูกลงโทษให้สาสมแก่บาป แต่สถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งความตาย ความยากจน และความเหงา คือต้นแบบที่ไม่อาจมอบทางออกเรื่องสภาพภูมิอากาศได้ ไม่มีทางหรอกที่เราจะรอดพ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการเสียสละ โดยเฉพาะในเมื่อคนจำนวนมากในประวัติศาสตร์เสียสละก่อนหน้าเราไปนานแล้ว วันนี้เรามีระบบที่ดึงก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ออกมาจากใต้ดินและพ่นมันเข้าไปในชั้นบรรยากาศ ระบบนี้ไม่ได้เกิดจากความแย่โดยสันดานของมนุษย์ แต่เกิดจากการตัดสินใจของมนุษย์ไม่กี่คนที่มีอำนาจ การเผชิญหน้ากับระบบนี้แปลว่าเราต้องทำงานหนัก เราต้องสร้างสิ่งต่างๆ สร้างกังหันลม แผงโซลาร์เซลล์ การขนส่งสาธารณะ เมืองที่หนาแน่นมากขึ้น สังคมที่มีความเป็นธรรมมากขึ้น

เราไม่ต้องชำระล้างจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ เราไม่ต้องไถ่บาป เราแค่ต้องเริ่มทำงาน

ก่อนหน้านี้ฉันกลัวที่จะปล่อยให้ตัวเองรู้สึกโกรธ เพราะฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ คนคาดหวังว่าเราต้องเป็นภววิสัย ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกบดบังการตัดสินใจ แต่ฉันคิดว่าการเสแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่มีอยู่จริงนั้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลย และฉันก็ไม่แน่ใจว่าการโกหกว่าเรารู้สึกยังไงจริงๆ จะทำให้เราซื่อสัตย์กว่าเดิมได้อย่างไร ฉันอ่านวรรณกรรมอังกฤษมามากเกินกว่าที่จะเชื่อว่า การเก็บอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้จะดีกับทุกคน

ก่อนหน้านี้ฉันไม่อยากโกรธต่อหน้าสาธารณะเพราะนิสัยของฉัน ฉันอยากให้คนอื่นชอบและยอมรับฉัน ฉันเรียนรู้ที่จะทำให้ตัวเองดูเล็กจ้อยและเออออห่อหมกกับคนอื่นตลอดเวลา ใช้คำว่า “ฉันรู้สึกว่า” แทนที่คำว่า “ฉันรู้ว่า” ต่อให้ถกเฉลยสมการคณิตศาสตร์… ฉันรู้จักดี บรรดาคำศัพท์ใช้เรียกผู้หญิงที่โมโห ขมขื่น เยอะ นังมารร้าย แต่มีความแตกต่างระหว่างความรู้สึกไม่พอใจเล็กๆ ที่กลัดหนองอยู่ภายใน กับความพิโรธที่ส่องทางสว่าง ส่องให้เห็นทางออกจากอุโมงค์ ฉันรู้สึกพิโรธแบบนี้ มันเป็นความโกรธที่เรืองรองเหมือนแสงตะเกียงผ่านวันคืนที่มืดมน ส่องหนทางสู่อนาคตที่ดีกว่าเดิม

Comments (1):

  1. Hermine_V

    Jul 13, 2024 at 5:48 am

    I like this blog very much, Its a real nice berth to read and get info.Leadership

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *