“นักลงทุน” หรือ “นอมินี” : กรณีหุ้นบางจาก และสิ่งที่ทางการควรทำ

นักลงทุนลึกลับใน BCP
นักลงทุนลึกลับใน BCP

ข่าวใหญ่ที่เขย่าแวดวงการเงิน-การลงทุนไทยมากที่สุดในรอบปี 2568 หนีไม่พ้นข่าวเจาะฝีมือ ทอม ไรท์ (Tom Wright) นักข่าวมือฉมัง ผู้ขุดคุ้ยเปิดโปงมหกรรมโกงเหนือเมฆนานหลายปีของ โจ โลว์ (Jho Low) “นายหน้า” และที่ปรึกษาทางการเงินชาวมาเลเซีย ในกรณีอื้อฉาวเรื่องกองทุน 1MDB ของรัฐ ซึ่งสุดท้ายส่งผลให้ นาจิบ ราซัก กระเด็นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ถูกศาลตัดสินจำคุกฐานฉ้อโกง 12 ปี และทางการมาเลเซียยังติดตามเงินนับพันล้านเหรียญสหรัฐที่ถูกยักยอกในมหกรรมนี้กลับคืนมาไม่ได้ทั้งหมดจวบจนปัจจุบัน

ชื่อเสียงของ ทอม ไรท์ ในฐานะนักข่าวเจาะระดับโลก กระฉ่อนขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาเผยแพร่ซีรีส์บทความข่าวเจาะสองชิ้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เขาอ้างว่ามีหลักฐานยืนยันชัดเจน ระหว่าง เบนจามิน มัวร์เบอร์เจอร์ (Benjamin Mauerberger, ชื่ออื่นที่เขาเคยใช้คือ Ben Berger และ Ben Smith) “นายหน้า” จากแอฟริกาใต้ผู้หนีคดีในนิวซีแลนด์ข้ามทวีปมาโผล่กัมพูชา กับผู้มีอำนาจทางการเมืองในกัมพูชาและไทย บทความชิ้นแรกชื่อ “The Fixer, the Jet, and Thaksin’s Shadow Wealth” เผยแพร่ออนไลน์เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ส่วนชิ้นที่สองชื่อ “Thaksin’s Fixer and a Cambodian Empire’s Push to Control Thai Energy” เผยแพร่ออนไลน์เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568

บทความของคุณทอมชิ้นที่สองข้างต้นอ้างว่า มัวร์เบอร์เจอร์ “ใช้เวลาตลอดทศวรรษที่ผ่านมาแทรกซึมเข้าสู่วงในของชนชั้นนำทางการเมืองของกัมพูชาอย่างลึกซึ้ง จากการยืนยันของแหล่งข่าวหลายแห่งที่รู้เรื่องนี้โดยตรง เขาเป็นหุ้นส่วนลับของ ยิม เลียก บุตรชายผู้ทรงอิทธิพลของอดีตรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้ควบคุมอาณาจักรการเงินและอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ …แกนหลักของเครือข่ายมัวร์เบอร์เจอร์คือ ผู้จัดการกองทุนในสิงคโปร์ชื่อ Capital Asia Investments (CAI) ในการเคลื่อนไหวที่สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์ตลาด บริษัทนี้ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ได้เข้าถือครองหุ้น 14% ใน บมจ. บางจาก จากนั้นในเดือนมีนาคม [ปี 2568] ได้ขายหุ้น 9% ให้กับบริษัทไทยลึกลับชื่อ อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด (Alpha Chartered) ซึ่งเพิ่งก่อตั้งในปีนี้เอง

“อย่างไรก็ตาม เส้นทางการเงินในเอกสารกลับนำไปสู่ [แคททาลียา บีเวอร์] ภรรยาของนักจัดการส่วนตัว [หมายถึงมัวร์เบอร์เจอร์] โดยตรง บริษัทแม่ของอัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เพิ่งจะเปลี่ยนที่อยู่สำนักงานในกรุงเทพฯ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยใช้ที่อยู่เดียวกับอีกบริษัทหนึ่งชื่อ บริษัท เอเพกซ์ เอคควิตี้ เวนเจอร์ จำกัด (Apex Equity Ventures) และบริษัทนี้เองคือบริษัทที่แคททาลียา บีเวอร์ ใช้เมื่อปีที่แล้วในการซื้อเพนต์เฮาส์สุดหรูมูลค่า 20.3 ล้านดอลลาร์ที่ Aman New York Residences”

“การสืบสวนของเรายังพบว่า แคททาลียา บีเวอร์ เป็นผู้จัดการกองทุนร่วมลงทุนของ Capital Asia Investments (CAI) โดยตรงร่วมกับ ยูจีน ตัง [Eugene Tang] ซีอีโอชาวสิงคโปร์ของ CAI ตามเอกสารที่ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ แหล่งข่าวสองรายที่รู้เรื่องนี้ยืนยันว่า CAI เป็นช่องทางที่ใช้ในการส่งเงินจากมัวร์เบอร์เจอร์และภรรยาของเขา ตามที่แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวไว้ แคททาลียา บีเวอร์เป็นเพียง “ตัวแทน” (cutout) ของมัวร์เบอร์เจอร์ ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่าง”

ในเวลาใกล้เคียงกัน จอห์น เบอร์เธลเสน (John Berthelsen) เผยแพร่บทความ “Thaksin Shinawatra’s Mystery Fixer Man” วันที่ 29 สิงหาคม 2568 บทความชิ้นนี้อ้างว่ามัวร์เบอร์เจอร์ใช้ Chartered Group ซื้อหุ้น บมจ. บางจาก ในฐานะตัวแทน “นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล” ซึ่งแหล่งข่าวอ้างว่ามีแผนจะขายหุ้นบางจาก (บางส่วน?) ต่อไปให้กับ ฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา แต่แผนนี้ไม่เกิดขึ้นด้วยเหตุใดไม่ปรากฎ

ณ วันที่เขียนบทความนี้ (10 กันยายน 2568) ผู้เขียนยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่สามารถยืนยันได้ว่าใครคือ “เจ้าของตัวจริง” เบื้องหลัง Chartered Group, Capital Asia Investments (CAI) และบริษัทต่างๆ ที่บทความเหล่านี้รายงานว่าเกี่ยวข้องกับการเข้ามาถือหุ้น บมจ. บางจาก แต่จากการศึกษาเอกสารการจดทะเบียนของบริษัทที่จดทะเบียนในไทยซึ่งปรากฎในบทความ ได้แก่ บริษัท อัลฟา โกลบอล, บริษัท อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี และ บริษัท เอเพกซ์ เอคควิตี้ เวนเจอร์ จำกัด (บริษัทหลังสุดนี้คือบริษัทของภรรยานายมัวร์เบอร์เจอร์) ผู้เขียนพบข้อมูลจากเอกสารทางการที่ยืนยันข้อเท็จจริงเรื่องการถือหุ้นและการซื้อหุ้น บมจ. บางจาก รวมถึงข้อเท็จจริงอื่นๆ อย่างเช่นการแจ้งเปลี่ยนแปลงที่อยู่บริษัท

ข้อเท็จจริงที่ผู้เขียนยืนยันได้จากเอกสารทางการ มีมากพอที่จะชี้ให้เห็น “ความผิดปกติ” หลายประการของการเข้าซื้อหุ้น บมจ. บางจาก ของกลุ่ม “นักลงทุนลึกลับ” ที่ใช้ Chartered Group ซึ่งล่าสุดได้ไล่ซื้อหุ้นอย่างรวดเร็วหลังวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นประจำปี เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 2% (ตัวเลขที่ปรากฏถ้าใครเข้าไปดูแค่รายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บมจ. บางจาก (หุ้น BCP) บนเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) เป็นมากถึง 20% (ตัวเลขจากแบบรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ (แบบ 246-2) บมจ. บางจาก ซึ่งตามกฎหมายผู้ซื้อหรือผู้ขายหลักทรัพย์ต้องส่งแบบฟอร์มนี้ให้กับสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อซื้อหรือขายหุ้นทุกๆ 5%

ข้อมูลแบบ 246-2 เกี่ยวกับหุ้น BCP ชี้ชัดว่า บริษัท อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี จำกัด เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 2.04% (สัดส่วน ณ วันปิดสมุดทะเบียน 14 มีนาคม 2568 บนเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์) เป็น 7.14% ในวันที่ 19 มีนาคม 2568 (ห้าวันหลังปิดสมุดทะเบียน) จากนั้นซื้อหุ้นเพิ่มจนแตะสัดส่วน 11.7% ในวันที่ 31 มีนาคม 2568 และเพิ่มเป็น 20% ในที่สุด ในวันที่ 9 เมษายน 2568 และเมื่อดูรายงานการซื้อขายหุ้น BCP ทุกๆ 5% ระหว่างเดือนธันวาคม 2567 และเมษายน 2568 (แบบ 246-2) จะเห็นว่ามีแต่ธุรกรรมจากบริษัท อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี และ Capital Asia Investments (CAI) เท่านั้น (ดูภาพด้านล่าง)

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่ อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี ไล่ซื้อหุ้น BCP นั้น ปรากฏว่า Capital Asia Investments (CAI) ซึ่งบทความของคุณทอมระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่าย “นักลงทุนลึกลับ” เช่นกัน ขายหุ้น BCP ผ่านกระดาน big lot ออกมา 9% ทำให้น่าตั้งข้อสังเกตว่าหุ้นเหล่านี้ต่อมาย้ายไปเป็นส่วนหนึ่งของ 20% ที่ อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี ถืออยู่ด้วยหรือไม่ (บทความของคุณทอมระบุว่า CAI ขายหุ้น 9% นี้ให้กับ อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี)

โครงสร้างการถือหุ้น บมจ. บางจาก ของ Chartered Group สามารถสรุปเป็นแผนผังได้ดังต่อไปนี้

อนึ่ง ในผังนี้ผู้เขียนรวม บมจ. บลจ. เอ็มเอฟซี บริษัทจัดการกองทุนชื่อดังด้วย เนื่องจากวันนี้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของบริษัทคือ Opus-Chartered Issuances S.A. จดทะเบียนลักเซมเบิร์ก ซึ่ง บลจ. เอ็มเอฟซี เปิดเผยเองกับสื่อในเดือนกันยายน 2567 ว่า เป็นการเข้าลงทุนของ Chartered Group ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่เข้ามาลงทุนใน บมจ. บางจาก

ผู้เขียนสรุป “ความผิดปกติ” ของการเข้าถือหุ้น บมจ. บางจาก 20% โดย อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี หลักๆ ได้ 3 ประการดังต่อไปนี้

1. บริษัท อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี จำกัด เพิ่งจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ผ่านมานี้เอง ไม่ถึงสามเดือนก่อนเข้าซื้อหุ้น BCP 20% ทุนจดทะเบียนล่าสุด 50 ล้านบาท

ในขณะที่มูลค่าตลาด (market capitalization) ของ BCP ปัจจุบันอยู่ที่ราว 43 พันล้านบาท ดังนั้นการซื้อหุ้น 20% จะต้องใช้เงินราว 8,600 ล้านบาท ถ้าซื้อที่ราคาตลาด – และอาจต้องใช้เงินมากถึง 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากราคาหุ้น BCP วันนี้ปรับตัวลดลง 15-16% จากราคาราว 37 บาทในเดือนมีนาคม-เมษายน 2568 ช่วงที่บริษัทเข้าซื้อหุ้น

คำถามคือ “ใคร” คือเจ้าของเงิน 8,600 – 10,000 ล้านบาท ที่ อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี นำมาซื้อหุ้น BCP ?

2. เมื่อมองย้อนไปอีกชั้น ดูผู้ถือหุ้นของ อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี พบว่ามีผู้ถือหุ้นสองรายเท่านั้น คือ บริษัท อัลฟา โกลบอล จำกัด ถือ 51% เป็นบริษัทตั้งใหม่ และ Encore Issuances S.A. ซึ่งควบคุมโดย Chartered Group ถือ 49% เจ้าของ 99.9999% ใน อัลฟา โกลบอล เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร บลจ. เอ็มเอฟซี

บริษัท อัลฟา โกลบอล จำกัด ซึ่งถือหุ้นข้างมากหรือ 51% ใน อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี ก็เป็นบริษัทใหม่เอี่ยมอีกเช่นกัน โดยเพิ่งจดทะเบียนตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ทุนจดทะเบียน 15 ล้านบาท บริษัทนี้มีผู้ถือหุ้นสองคน โดย ณัฐกร อธิธนาวานิช ถือหุ้นเกือบทั้งหมด (99.9999%) ในบริษัท

ณัฐกร อธิธนาวานิช ดูไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจพลังงานตามข้อมูลเท่าที่ปรากฏในพื้นที่สาธารณะ งานหลักน่าจะเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เนื่องจากดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ. บลจ. เอ็มเอฟซี และหลังจากที่ อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี เข้าถือหุ้น 20% ใน บมจ. บางจาก เขาก็เข้ามารับตำแหน่ง กรรมการ บมจ. บางจาก ในฐานะตัวแทนผู้ถือหุ้นรายใหม่ด้วย

คำถามคือ ณัฐกรถือหุ้น บมจ. บางจาก ทางอ้อมสูงถึง 51% x 20% = 10.2% หรือคิดเป็นมูลค่าราว 4,400 ล้านบาท ถ้าคิดจากมูลค่าตลาดของบริษัทปัจจุบันที่ 43,000 ล้านบาท ทั้งที่ชื่อของเขาไม่เคยปรากฏว่าติดทำเนียบเศรษฐีพันล้านของไทยแต่อย่างใด

ดังนั้นคำถามคือ ณัฐกรถือหุ้น “แทน” ใครอยู่หรือไม่ และกลับไปที่คำถามข้างต้นคือ ใครคือเจ้าของเงินที่แท้จริง ?

3. จากการคัดเอกสารทางการจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าภายในระยะเวลาเพียง 8 เดือน นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในเดือนธันวาคม 2567 บริษัท อัลฟา โกลบอล จำกัด แจ้งเปลี่ยนที่ตั้งสำนักงานถึง 2 ครั้ง จากเดิมตั้งอยู่ที่อาคาร เกสร ทาวเวอร์ ชั้น 28 เปลี่ยนเป็น อาคาร วัน แบงค็อก ทาวเวอร์ ชั้น 37 ในวันที่ 24 มีนาคม 2568 และต่อมาในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 แจ้งเปลี่ยนที่อยู่บริษัทอีกครั้งเป็น อาคาร วัน แบงค็อก ทาวเวอร์ ชั้น 17

ประเด็นที่น่าสังเกตคือ สำนักงานแห่งแรกของ บริษัท อัลฟา โกลบอล จำกัด เคยตั้งอยู่ที่เดียวกับ บริษัท เอเพกซ์ เอคควิตี้ เวนเจอร์ จำกัด บริษัทของ แคททาลียา บีเวอร์ ภรรยาของนายมัวร์เบอร์เจอร์ คือ “127 อาคารเกษร ทาวเวอร์ ชั้น 28 ห้อง เอ,บี,ดี/1” แตกต่างเพียงเล็กน้อยกับที่ตั้งของ เอเพกซ์ เอคควิตี้ เวนเจอร์ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ที่ “127 อาคารเกษร ทาวเวอร์ ชั้น 28 ห้อง เอ,บี,ดี/2” (ต่างแค่ ห้อง ดี/1 กับ ดี/2) – ดูภาพประกอบด้านล่าง

(ที่น่าสนใจคือ ที่อยู่ในอาคาร เกสร ทาวเวอร์ ดังกล่าว ยังเป็นที่ตั้งสำนักงานประจำประเทศไทยของ BIC Group ของ ยิม เลียก บุตรชายผู้ทรงอิทธิพลของอดีตรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในบทความของคุณทอม ซึ่งผู้เขียนจะเขียนถึงความเคลื่อนไหวของ BIC และ CAI ในตลาดหุ้นไทย ในโอกาสต่อไป)

ข้อมูลทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดคำถามว่า อัลฟา โกลบอล เปลี่ยนที่อยู่สำนักงาน 2 ครั้งใน 8 เดือน เนื่องจากพยายามลบความเชื่อมโยงระหว่างบริษัท กับนายมัวร์เบอร์เจอร์และภรรยาของเขา หรือไม่ ? นอกจากนี้ การย้ายที่อยู่ทุก 4 เดือน น่าจะเป็นเรื่องที่สร้างผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจไม่น้อย ถ้าหาก อัลฟา โกลบอล เป็นบริษัทจริงๆ ที่มีการดำเนินธุรกิจจริงจัง มิได้เป็นเพียงบริษัทกล่องที่ถือหุ้นแทนนักลงทุนลึกลับ

ผู้เขียนเห็นว่า ความผิดปกติทั้ง 3 ประการที่ไล่เรียงมาข้างต้น ประกอบการตั้งข้อสังเกตของ ทอม ไรท์ และจอห์น เบอร์เธลเสน ในบทความของเขาทั้งสองว่า “กลุ่มนักลงทุนลึกลับ” เบื้องหลังการถือหุ้น 20% ใน บมจ. บางจาก อาจเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนกัมพูชา ซึ่งอาจโยงกับแผนการ “ฮุบ” บางจาก และโยงกับเงินสกปรกที่มาจากมหกรรมหลอกลวงออนไลน์ผ่านคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับคนไทยวันละเกือบ 80 ล้านบาท และธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาประเทศเดียวอาจมีมูลค่าสูงถึง 12.9 – 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 60% ของจีดีพีกัมพูชา  — ข้อมูลทั้งหมดนี้ “ผิดปกติ” มากพอที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ควรเริ่มดำเนินการสอบสวน “กลุ่มนักลงทุนลึกลับ” กลุ่มนี้ โดยเริ่มจากการสืบสาว “เจ้าของหุ้น 20% ตัวจริง” ในอำนาจ ก.ล.ต. และ “เจ้าของเงินซื้อหุ้นตัวจริง” ในอำนาจ ป.ป.ง.

ยกตัวอย่างเช่น ป.ป.ง. ควรตรวจสอบว่า โบรกเกอร์หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ส่งคำสั่งซื้อ BCP ให้กับ อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี มีการรายงานธุรกรรมดังกล่าวในฐานะ “ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย” ตามกฎหมายฟอกเงินหรือไม่ เนื่องจาก อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี มีทุนจดทะเบียนเพียง 50 ล้านบาท แต่ส่งคำสั่งซื้อหุ้นมูลค่าหลายพันล้านบาท แปลว่าอาจมีการปกปิดข้อมูลผู้รับประโยชน์ทอดสุดท้าย

อนึ่ง ข้อมูลอีกชิ้นที่เกี่ยวข้องคือ ก.ล.ต. เคยกล่าวโทษ เบนจามิน มัวร์เบอร์เจอร์ ในชื่ออีกชื่อที่เขาใช้ คือ เบนจามิน เบอร์เจอร์ มาแล้วในเดือนสิงหาคม 2564 ในข้อหาขายหุ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต (คล้ายกับข้อหาที่เขาเคยโดนทางการนิวซีแลนด์แจ้งตั้งแต่ปี 2546 หรือ 22 ปีที่แล้ว)

ข้อกล่าวหาของ ก.ล.ต. ต่อนาย เบนจามิน เบอร์เจอร์ คือ “เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2562 ในงานประชุมนักลงทุน Tian Tian Ventures ประจำปี 2019 ที่โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ นายเบนจามิน เบอร์เจอร์ (Benjamin Berger) เป็นผู้นำเสนอขายหุ้น เทียน เทียน เวนเชอร์ส (Tian Tian Ventures) ต่อประชาชนโดยไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน” ปัจจุบันผ่านมา 4 ปี กรณีดังกล่าว “ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ” ตามข้อมูลบนเว็บไซต์ ก.ล.ต.