ความเป็นสากลของประชาธิปไตย

การชุมนุมที่สี่แยกปทุมวัน

[พิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ “รู้ทันตลาดทุน”, กรุงเทพธุรกิจ 23 ธันวาคม 2556]

ในสายตาของผู้เขียน การเคลื่อนไหวของ “มวลมหาประชาชน” หลังจากที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศยุบสภาในเดือนพฤศจิกายน 2556 ได้กระโดดข้ามเส้นความชอบธรรมที่ออกมาต่อต้าน “เผด็จการเสียงข้างมาก” ไปสู่การเป็นม็อบที่กำลังทำตัวเป็น “เผด็จการเสียงข้างน้อย” โดยไม่แยแสว่า ประชาธิปไตยต้องใส่ใจทั้ง “เป้าหมาย” และ “วิธีการ”

คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) มีความคิดดีๆ เรื่องการปฏิรูปหลายเรื่อง ซึ่งประชาชนทุกกลุ่มน่าจะร่วมกันผลักดันต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด อุดช่องโหว่ในกระบวนการถอดถอนนักการเมือง หรือการปรับโครงสร้างตำรวจ

อย่างไรก็ดี “วิธีการ” ที่ กปปส. ยืนยันว่าจำเป็นต้องใช้ ไม่มีทางเลือกอื่น คือ ล้มการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 หา “นายกฯ คนกลาง” ตั้ง “สภาประชาชน” ขึ้นมา “ปฏิรูปประเทศ” 1-1.5 ปี แล้วค่อยคืนอำนาจให้กับนักการเมือง วิธีนี้ผู้เขียนนั่ง-นอน-ตะแคงดูทุกมุมแล้วก็ไม่เห็นจะเรียกว่าประชาธิปไตยตรงไหนได้ เพราะนายกฯ กับสภาแบบนี้ไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศได้เลย

ผู้ชุมนุมหลายคนไม่ปฏิเสธว่า นี่คือการเสนอให้ “เว้นวรรคประชาธิปไตย” ชั่วคราว โดยอ้างว่าประชาธิปไตยเป็น “ของตะวันตก” แต่ประเทศไทยมีเอกลักษณ์และบริบทเฉพาะตัว ไม่จำเป็นที่เราจะต้อง “เดินตามก้นฝรั่ง”

มุมมองเช่นนี้เป็นความเข้าใจผิดที่อันตราย โดยเฉพาะในเมื่อยุคนี้ประชากรกว่า 2 ใน 3 ของโลกในทุกทวีป ยกเว้นตะวันออกกลาง ใช้ชีวิตอยู่ในระบอบประชาธิปไตย รวมถึงประเทศที่ภูมิใจในเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตัวเองที่แตกต่างจาก “อังกฤษ-อเมริกัน” อย่างเช่นอินเดีย ญี่ปุ่น และทุกประเทศในทวีปอเมริกาใต้ แม้แต่จีน ป้อมปราการท้ายๆ ของระบอบคอมมิวนิสต์ คนจีนเกินครึ่งก็ตอบแบบสำรวจว่า “ชอบแนวคิดเรื่องประชาธิปไตย” และนักวิเคราะห์หลายคนก็มองว่า รัฐบาลกลางของจีนฟังเสียงประชาชนมากขึ้นมาก และฟังมากกว่ารัสเซียมาก (เช่น การนัดหยุดงานเพื่อประท้วงยังเป็นเรื่องผิดกฎหมายในรัสเซีย แต่ถูกกฎหมายในจีน)

อมาตยา เซน อาจารย์ที่รักของผู้เขียนและนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เสนอมานานกว่าสองทศวรรษแล้วว่า ระบอบประชาธิปไตยประสบความสำเร็จในโลกสมัยใหม่ไม่ใช่เพราะหลายประเทศ “เห่อฝรั่ง” หากแต่เป็นเพราะประชาธิปไตยสะท้อน “คุณค่าสากล” บางอย่างที่มนุษย์ต่างเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ล้วนแต่ยึดถือร่วมกัน

ก่อนอื่น อาจารย์เซนยืนยันว่า “ประชาธิปไตย” มิได้หมายถึงระบบการปกครองของ “เสียงข้างมาก” เพียงอย่างเดียว ถึงแม้ว่าการเลือกตั้งและการเคารพในสิทธิเลือกตั้งจะสำคัญ ประชาธิปไตยจะต้องมีกลไกคุ้มครองเสรีภาพ สิทธิตามกฎหมาย และวางหลักประกันว่าประชาชนจะสามารถสื่อสารกันได้อย่างเสรี สื่อไม่ถูกรัฐเซ็นเซอร์หรือบิดเบือน การเลือกตั้งอย่างเดียวอาจบกพร่อง ถ้าหากจัดการเลือกตั้งโดยไม่ให้ทุกฝ่ายในสังคมมีโอกาสนำเสนอข้อเรียกร้องและความเดือดร้อน หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่มีอิสรภาพที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ไม่มีโอกาสได้พิจารณามุมมองที่หลากหลายของผู้ลงสมัครเลือกตั้ง เมื่อมองจากแง่นี้ ประชาธิปไตยจึงเป็นระบบที่ต้องบำรุงรักษาและพัฒนาไม่หยุดนิ่ง จะดูแต่เงื่อนไขทางเทคนิค (เช่น มีการปกครองของเสียงข้างมาก) เพียงอย่างเดียวไม่ได้

มุมมองข้างต้นของอาจารย์เซนดูจะสอดคล้องกับ กปปส. ซึ่งมีชนวนอยู่ที่การต่อต้าน “เผด็จการเสียงข้างมาก” แต่อาจารย์เซนชี้ต่อไปว่า ระบอบประชาธิปไตยในนิยามข้างต้นนั้นมี “คุณค่าสากล” ซึ่งเรามองเห็นได้จากการพินิจดูว่า ประชาธิปไตยส่งผลดีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างไร

ประการแรก เสรีภาพทางการเมืองเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของเสรีภาพมนุษย์ และการใช้สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองก็เป็นหัวใจของการมี “ชีวิตที่ดี” ของมนุษย์ ในฐานะที่เป็นสัตว์สังคม ไม่ได้เป็นเพียงสัตว์เศรษฐกิจ การมีส่วนร่วมทางการเมืองและทางสังคมนั้นมีคุณค่าในตัวมันเอง เพราะถ้าเราไม่มีส่วนร่วมทางการเมือง ก็ยากที่เราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ในเมื่อการตัดสินใจทางการเมืองส่งผลต่อชีวิตเรา (ตัวอย่างในไทย เช่น การที่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ในบางพื้นที่)

ประการที่สอง อาจารย์เซนชี้ว่าประชาธิปไตยมีคุณค่าในฐานะ “เครื่องมือ” ที่สร้างหลักประกันว่า ประชาชนทุกกลุ่มจะมีสิทธิร้องเรียน เรียกร้อง และได้รับความสนใจจากนักการเมือง ในประเด็นต่างๆ ที่ประชาชนมองว่าเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงความต้องการทางเศรษฐกิจด้วย งานวิจัยชิ้นเอกของอาจารย์เซนซึ่งนำไปสู่หนังสือคลาสสิก Development as Freedom (การพัฒนาในฐานะเสรีภาพ, พิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1999) และทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล (สาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 1998) คือการพิสูจน์ว่า ภาวะทุพภิกขภัย (ขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง) ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตยที่มีเอกราชและสื่อเสรี เนื่องจากทุพภิกขภัยไม่ได้เกิดจากภัยธรรมชาติ แต่เกิดจากความล้มเหลวของนโยบายรัฐ รัฐที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยไม่มีฝ่ายค้าน ไม่มีสื่อเสรี และไม่มีการเลือกตั้งที่ประชาชนมีตัวเลือก ฉะนั้นจึงไม่เผชิญกับแรงกดดันใดๆ ให้เปลี่ยนแปลงนโยบายที่ทำให้ประชาชนล้มตายทุกปี

ประการที่สาม ประชาธิปไตยเปิดช่องทางให้ประชาชนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และการเรียนรู้นี้ก็ช่วยให้สังคมก่อร่างสร้างรูปคุณค่าและลำดับความสำคัญของคุณค่าต่างๆ ที่ยึดมั่นร่วมกัน แม้แต่แนวคิดเรื่อง “ความต้องการ” (needs) รวมถึงการเข้าใจความต้องการทางเศรษฐกิจของประชาชนแต่ละกลุ่ม ก็ต้องอาศัยการอภิปรายสาธารณะ การแลกเปลี่ยนข้อมูล มุมมอง และการวิเคราะห์ พูดอีกอย่างคือ การจะรู้ได้ว่าคนแต่ละกลุ่มมีความต้องการอะไรบ้าง ความต้องการเหล่านั้นมีรายละเอียดอย่างไรและเร่งด่วนเพียงใด ก็ต้องเปิดให้คนทุกกลุ่มใช้สิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมืองของตน

เมื่อมองจากมุมนี้ สิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมืองที่เกี่ยวข้องกับการสร้างหลักประกันว่าคนจะได้อภิปราย ถกเถียง และคัดค้านในพื้นที่สาธารณะ  จึงเป็นหัวใจของการสร้าง “ทางเลือก” ที่มีเหตุมีผลและผ่านการคิดใคร่ครวญมาแล้ว

อาจารย์เซนย้ำว่า กระบวนการอภิปรายสาธารณะนั้นจำเป็นสำหรับการสร้างคุณค่าและลำดับความสำคัญของคุณค่าต่างๆ ที่เราเรียกได้ว่าเป็น “ของสังคม” ของเรา พูดอีกอย่างคือ เราไม่อาจอวดอ้างชุดคุณค่าใดๆ ก็ตามที่ไม่ได้มาจากการอภิปรายสาธารณะ ว่า “สะท้อนสังคม” โดยรวมได้เลย

ประชาธิปไตยเป็นคุณค่าสากล เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนอยากให้คนอื่นยอมรับว่า ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมโดยกำเนิด กระบวนการหรือวิธีการใดๆ ก็ตามที่มิได้ยึดมั่นในหลักการข้อนี้ ย่อมไม่อาจเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยได้เลย

คงเป็นเรื่องน่าเศร้าถ้า “มวลมหาประชาชน” จะภูมิใจในพลังของตัวเองที่สามารถขับไล่รัฐบาลทุนหนาเถลิงอำนาจได้สำเร็จ แต่กลับไม่มั่นใจว่ามีพลังที่จะติดตามตรวจสอบพฤติกรรมซื้อเสียงในช่วงเลือกตั้ง และพฤติกรรมลุแก่อำนาจหลังเลือกตั้ง จนถึงขั้นยอมเว้นวรรคประชาธิปไตยชั่วคราว

ผู้เขียนคิดว่า บางที “ความเป็นไทย” ที่แท้จริง อาจหมายถึงการยก “ความเป็นไทย” เป็นข้ออ้างแบบมักง่ายในการปฏิเสธคุณค่าอันเป็นสากล

Comments (1):

  1. Eliminate Skin Tags Remover

    Jun 6, 2024 at 11:21 pm

    Simply wish to say your article is as amazing The clearness in your post is just nice and i could assume youre an expert on this subject Well with your permission let me to grab your feed to keep updated with forthcoming post Thanks a million and please carry on the gratifying work

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *