มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายตลอดระยะเวลา 4 เดือน ที่ผู้เขียนเขียนบทความชุด #มหากาพย์นายหน้า ลงบล็อกนี้ระหว่างเดือน กันยายน และ ธันวาคม 2025 โดยได้แรงบันดาลใจจากซีรีส์ภาคอินเตอร์ ฝีมือคุณ Tom Wright กับคู่หู Bradley Hope สองนักข่าวเจาะระดับโลก ซึ่งเริ่มเขียนบทความลงบล็อก Whale Hunting ของพวกเขาเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025
ซีรีส์ #มหากาพย์นายหน้า ภาคอินเตอร์นั้นร้อนแรงตั้งแต่ตอนแรกเพราะพาดพิงบุคคลที่มีอำนาจทางการเมืองหลายคน โดยเฉพาะ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย และ ฮุน เซน รักษาการประมุขแห่งรัฐกัมพูชา
ส่วนซีรีส์ #มหากาพย์นายหน้า บนบล็อกนี้ ผู้เขียนพยายามเน้นอธิบายความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่ข้อมูลสาธารณะบ่งชี้ชัดเจนว่า คนไทยและนิติบุคคลไทยมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มของนาย เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ และ ยิม เลียก
ถึงแม้ซีรีส์นี้จะตีแผ่เรื่องใหญ่มากมาย แต่ในแง่การติดตามความคืบหน้าจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ณ สิ้นปี 2025 มีเพียง 3 กรณีเท่านั้นที่ปรากฏต่อสาธารณะ ได้แก่
1. การประกาศยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ระหว่าง Prime Opportunity Fund VCC กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) ซึ่งลงนามกันในเดือนมีนาคม 2024 โดย นายไชยชนก ชิดชอบ รมว. ดีอีคนปัจจุบัน ได้ประกาศยกเลิก MOU นี้ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025
ความคืบหน้าล่าสุดของกรณีนี้ ณ สิ้นปี 2025 คือ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2025 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี และ นายวัลลภ รุจิรากร อดีต เลขานุการรมว. ดีอี “…เดินทางเข้าให้ปากคำในฐานะพยานกับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ 148/2568 กรณีธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตเคอเรนซี ภายใต้โครงการ Worldcoin” ซึ่งดำเนินการภายใต้ MOU ฉบับดังกล่าว (ข่าวสำนักข่าวอิศรา)
2. ในวันเดียวกันกับที่มีการแถลงยกเลิก MOU ข้างต้น คือ 24 พฤศจิกายน 2025 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) สั่งระงับหรืองดการสแกนม่านตาเพื่อแลกเหรียญคริปโตของ Worldcoin และสั่งให้ “ผู้ให้บริการและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการลบทำลายข้อมูลม่านตาและข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องของประชาชนจำนวน 1.2 ล้านคน (ข่าวบีบีซีไทย)
3. วันที่ 3 ธันวาคม 2025 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แถลงข่าวเปิดยุทธการ “ถอนรากสแกมเมอร์ข้ามชาติ ยึดกว่า 10,000 ล้านบาท สะเทือนทั้งวงการ” กรณี นางสาวแตงไทย บ้านมะหิงษ์ กับพวกเชื่อมโยงข้อมูล นายยิม เลียก และ นายเบน สมิธ โดย ปปง. สั่งอายัดทรัพย์จำนวน 66 รายการ (เช่น ที่ดิน ห้องชุด หลักทรัพย์ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร) รวมมูลค่าประมาณ 9,279 ล้านบาท (ข่าวสำนักข่าวอิศรา)
การยกเลิก MOU กับกระทรวงดีอี การสั่งระงับกิจกรรมสแกนม่านตาของ Worldcoin ในไทย และการอายัดทรัพย์เครือข่าย ยิม เลียก และ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (ชื่อจริงของนาย เบน สมิธ) นั้น ล้วนเป็น “ความก้าวหน้า” ที่สำคัญ
อย่างไรก็ดี ความก้าวหน้าทั้งหมดนั้นอาจยัง “ไม่เพียงพอ” เมื่อเทียบกับขนาดของปัญหาและข้อกล่าวหาของ Tom Wright ในซีรีส์บทความของเขา
ในโอกาสส่งท้ายปี 2025 ผู้เขียนจึงชวนจับตา 5 ประเด็นร้อนใน #มหากาพย์นายหน้า ที่เราต้องจับตาในปี 2026 และติดตามความคืบหน้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชนิดไม่คลาดสายตา
ประเด็นแรก ปปง. จะขยายผลการอายัดทรัพย์เมื่อใด และเพียงใด
หากคำนวณมูลค่าของ “เงินเทา” ที่อาจเกี่ยวข้องกับ ยิม เลียก และ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ที่เข้ามาซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย และจัดตั้งบริษัทจำกัดต่างๆ นอกตลาดหุ้น พบว่ามีมูลค่ารวมกันไม่น้อยกว่า 26,000 ล้านบาท
มูลค่าทรัพย์สินที่ ปปง. อายัดในวันที่ 3 ธันวาคม 2025 ประมาณ 9,200 ล้านบาท (ตามข่าว) นั้น คิดเป็นเพียง 35% หรือราวหนึ่งในสามของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดเท่านั้น
(ดาวน์โหลดแผนผังสรุปภาพรวมได้จากบล็อกนี้)
ดังนั้น สิ่งที่น่าจับตาต่อคือ การอายัดทรัพย์ของ ปปง. จะขยายผลไปครอบคลุมถึงการลงทุนอื่นๆ ในเมืองไทย ของเครือข่าย ยิม เลียก และ เบนจามิน เมาเออร์เบอรเกอร์ ดังที่ปรากฏเป็นข้อมูลสาธารณะ ได้หรือไม่
รวมถึงการอายัดทรัพย์สินชุดแรกในวันที่ 3 ธันวาคม 2025 นั้น จะครบ 90 วัน ในวันที่ 2 มีนาคม 2026 – ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า กว่าจะถึงวันนั้น ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติทั้งสองคน หรือทนายของพวกเขา จะไปชี้แจง “ที่มา” ของทรัพย์สินที่ถูกอายัด กับ ปปง. หรือไม่ และ ปปง. จะดำเนินการขอหมายศาลเพื่อยึดทรัพย์ หรือขยายผลอย่างไรต่อไป
ประเด็นที่สอง การสืบสวนคดีนี้ จะสาวไปถึงต้นตอได้หรือไม่
มีข้อน่าสังเกตว่า ในการแถลงข่าวมหกรรมการอายัดทรัพย์ 9,200 ล้าน ของ ปปง. เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2025 ก็คือ ตำรวจออกหมายจับบุคคล 42 ราย รวมถึง ยิม เลียก ขณะที่ทีมสอบสวนแถลงข่าวว่า “พบว่าคดีนี้มีจุดเริ่มต้นคือ บัญชีม้าที่ใช้ในการลักลอบทำธุรกรรม คือ นางสาวแตงไทยฯ เป็นบัญชีม้า ได้รับมอบอำนาจในการดำเนินการ เราพบว่าในช่วงปี 2560-2565 มีการทำธุรกรรมรับโอนเงินจากการกระทำความผิดจากกลุ่มของนายยิม เลียก ภรรยา และกลุ่มนายเบน สมิธ รวมประมาณ 15,000 ล้านเศษ”
จากคำบรรยายข้างต้น ชัดเจนว่า ปปง. พบข้อมูลการทำธุรกรรมโยงถึงทั้งนาย ยิม เลียก และ เมาเออร์เบอร์เกอร์ แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ในกรณีของนาย เมาเออร์เบอร์เกอร์
กรณีนี้จึงเป็นคำถามต่อตำรวจ ที่เราต้องติดตามต่อในปี 2026
รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวกับตำรวจอีก 2 เรื่อง ที่ยังไม่มีคำตอบ คือ 1) ใครคือ “ผู้ว่าจ้าง” นาย ลอว์เรนซ์ เฟลด์แมน ครูสอนภาษาอังกฤษในประเทศจีน ซึ่งรับงานแสดงโฆษณาเป็นครั้งคราว ให้มารับบทเป็น “เบนจามิน เบอร์เจอร์” ซีอีโอของบริษัทปลอม Tian Tian Ventures ซึ่งถูกสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษในข้อหาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาตในปี 2019 และ 2) การสอบสวนประเด็นข้อกล่าวอ้างว่า นายเมาเออร์เบอร์เกอร์ ได้ใช้หนังสือเดินทางไทย ในการเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2024
ประเด็นที่สาม ก.ล.ต. จะแถลงความคืบหน้าหรือผลการสอบสวนเกี่ยวกับกรณีที่อาจละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ เมื่อใด
#มหากาพย์นายหน้า มีประเด็นจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น เนื่องจากกลุ่มเมาเออร์เบอร์เกอร์เข้ามาซื้อหุ้นมาหลายปีแล้ว ผู้เขียนเคยเขียนบทความ “5 ประเด็น จาก #มหากาพย์นายหน้า ที่ ก.ล.ต. ต้องสอบสวนให้กระจ่าง” เมื่อเดือนตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา
ทั้ง 5 ประเด็นที่กล่าวถึงในบทความชิ้นนั้น นอกเหนือจากการที่ ก.ล.ต. ประสานขอข้อมูลจาก ปปง. ตามข่าวเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าอื่นใดที่ปรากฎต่อสาธารณะ ณ สิ้นปี 2025 โดยเฉพาะประเด็นที่สุ่มเสี่ยงจะเป็นการละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์อย่างรุนแรง นั่นคือ ข้อกล่าวอ้างที่ว่า บมจ. ฟินันเซีย เอ็กซ์ (FSX) อาจถูก “เทคโอเวอร์” อย่างลับๆ ไปแล้วโดย Kucoin บริษัทคริปโตจีน
แม้ว่าความซับซ้อนของเรื่องนี้อาจทำให้ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องใช้เวลาในการรวบรวมข้อเท็จจริงและดำเนินการอย่างระมัดระวัง แต่ขนาดและความสำคัญของเรื่องก็ย่อมทำให้นักลงทุนและประชาชนวงกว้างต้องการทราบความคืบหน้า ดังนั้น เราจึงยังต้องติดตามและทวงถามความคืบหน้าในการทำงานของ ก.ล.ต. ต่อไปในปี 2026
ประเด็นที่สี่ ธปท. ก.ล.ต. ตำรวจ และ ปปง. จะรวมพลังกันตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัยใน “ตลาดคริปโต” ตัดแพล็ตฟอร์มต้องสงสัยออกจากระบบ และตรวจสอบกลไก AML/CFT ของกระดานคริปโตไทย เมื่อใด
ผู้เขียนยังไม่ได้เขียนถึงความเชื่อมโยงระหว่างตลาดคริปโต กับ #มหากาพย์นายหน้า ในซีรีส์บทความนี้ แต่ในเมื่อข้อเท็จจริงปรากฎแล้วว่า มิจฉาชีพรวมถึงนักฟอกเงินทั้งหลายนิยมใช้ “คริปโต” เป็นลู่ทางในการรับเงินและฟอกเงิน การรวมพลังกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัยในกระดานคริปโตยอดนิยมต่างๆ ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในไทย รวมถึงการเข้าตรวจสอบ (due diligence) ความเข้มแข็งของกลไกต่อต้านการฟอกเงินในกระดานคริปโตแต่ละเจ้า จึงเป็นก้าวสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการรับมือกับมหกรรมฟอกเงินอย่างรอบด้านและเป็นระบบ
ยกตัวอย่างเช่น ในการแถลงข่าวอายัดทรัพย์เครือข่าย ยิม เลียก และ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ของ ปปง. ในเดือนธันวาคม 2025 ที่ผ่านมา ทรัพย์สินที่ถูกอายัดเป็นบัญชีหลักทรัพย์ บัญชีธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สิน “กระแสหลัก” อื่นๆ อาทิ รถสปอร์ตและเรือยอทช์ ยังไม่รวมคริปโตวอลเล็ตแต่อย่างใด
ตัวอย่างที่สอง คือ เมื่อเดือนสิงหาคม 2025 ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เปิดปฏิบัติการ “SKYFALL” บุกทลายแก๊งฟอกเงินข้ามชาติผ่าน Huione Pay ประเทศกัมพูชา ยึดเงินสดได้กว่า 46 ล้านบาท แต่ยังไม่มีการสั่งคว่ำบาตรให้ตัด Huione Pay จากระบบการเงินไทย ทั้งระบบธนาคารและกระดานคริปโต (ตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกา) แต่อย่างใด ทั้งที่ข้อมูลหลักฐานปรากฎชัดเจนถึงบทบาทของ Huione Pay ในการเป็น “ระบบนิเวศสแกมเมอร์”
ประเด็นที่ห้า จะมีการดำเนินคดีกับคนไทยที่เป็น “ผู้สมรู้ร่วมคิด” กับสแกมเมอร์หรือไม่
มหกรรมการฟอกเงินให้กับอาชญากรข้ามชาติที่ดำเนินอยู่ในไทยนั้น ไม่มีวันใหญ่โตและซึมลึกเท่าที่เป็นอยู่ได้ หากปราศจากคนไทยจำนวนมากที่ไม่ใช่ “ลูกมือระดับล่าง” แต่เป็นระดับ “ผู้สมรู้ร่วมคิด” ไม่ว่าจะเป็น นักธุรกิจ ที่ปรึกษาการเงิน ที่ปรึกษากฎหมาย โบรกเกอร์ นักบัญชี นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง และอาจรวมถึงตำรวจที่รับสินบนมาเพื่อเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ในอดีต การหยุดยั้งขบวนการนี้ให้ได้ประสิทธิผลนั้นจำเป็นต้องสาวให้ถึงผู้เล่นในระบบนิเวศที่ “อำนวยความสะดวก” แก่อาชญากรด้วย
การสอบสวนและเอาผิดต่อ “ผู้สมรู้ร่วมคิด” ชาวไทยในบทบาทต่างๆ ข้างต้น จึงเป็นประเด็นที่เราต้องติดตามความคืบหน้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในปี 2026 เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ก.ล.ต. ปปง. ตำรวจ ดีเอสไอ และ ป.ป.ช.