ตอนที่แล้วผู้เขียนสรุปธุรกรรมที่น่าสนใจระหว่างปี 2019 ถึง 2021 ของ บมจ. ยูไนเต็ด พาวเวอร์ ออฟ เอเชีย (UPA) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ. กรีนเทค เวนเจอร์ส (GTV ในตลาดหุ้น) โดยทิ้งท้ายว่า เหตุการณ์ช่วงนั้นอาจจัดเป็น “ปฐมบท” ของ #มหากาพย์นายหน้า ภาคอินเตอร์ เนื่องจากมี “ตัวละครหลัก” จำนวนมากที่ปรากฏในมหากาพย์นายหน้า ปี 2025 ปรากฏตัวในลักษณะที่ชัดเจนว่าทำธุรกรรมทางธุรกิจกัน หรือกระทั่งเป็น “หุ้นส่วน” ทางธุรกิจร่วมกัน มิได้เป็นเพียงคนรู้จักผิวเผินแต่อย่างใด
ใน #มหากาพย์นายหน้า ภาคอินเตอร์ บนบล็อก Whale Hunting คุณ ทอม ไรท์ กับ แบรดลีย์ โฮป สองนักข่าวเจาะระดับโลก เปิดโปงเรื่องราวอย่างเข้มข้นต่อเนื่องติดกันมานานกว่าสองเดือนแล้ว นับตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม 2025 เป็นต้นมา บทความชิ้นล่าสุดโดยคุณ แบรดลีย์ โฮป ชื่อ “After KuCoin Threatened to Sue Us, We Kept Digging. Here’s What We Found: Iran, Sanctions Evasion, and a Captured Regulator” ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2025 เผยแพร่ผลการสืบสวนทางเทคนิคที่ใช้เวลากว่า 5 สัปดาห์ จนได้ข้อพิสูจน์ว่า KuCoin (กระดานคริปโตโลกที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยผ่านบริษัท ERX ภายใต้ใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. และคุณ ทอม ไรท์ เสนอหลายครั้งในซีรีส์ของเขาว่าได้เทคโอเวอร์ บมจ. ฟินันเซีย เอ็กซ์ (FSX) อย่างลับๆ ไปแล้ว) ถูกใช้เป็นแหล่งส่งเงินคริปโตของแพล็ตฟอร์มอิหร่านถึง 8 แพล็ตฟอร์ม มูลค่ารวมกันอาจสูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ — ซึ่งเป็นการหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของรัฐบาลสหรัฐอย่างชัดเจน และอาจถือเป็นการละเมิดข้อตกลงรับสารภาพ (plea agreement) ของ KuCoin ตอนที่โดนทางการสหรัฐสั่งปรับในเดือนมกราคม 2025 ด้วย
ย้อนกลับมาดูความเชื่องช้าของทางการไทยกันบ้าง ก่อนหน้านี้ผู้เขียนสรุป “5 ประเด็น จาก #มหากาพย์นายหน้า ที่ ก.ล.ต. ต้องสอบสวนให้กระจ่าง” ไปแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาหันกลับมาดู สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กันบ้าง
ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีหน้าทื่ทั้ง “ป้องกัน” และ “ปราบปราม” การฟอกเงิน ผู้เขียนเห็นว่า ปปง. ควรจะทำงานตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว หรือ 2020!
เหตุผลง่ายๆ ก็คือ แคททาลียา บีเวอร์ ภรรยาของ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ อดีตนางแบบที่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า “รวยมาจากไหน” เข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นชนิด “มือเติบ” มานานหลายปี จนติดโผ “นักลงทุนตัวท๊อป”
ผู้เขียนประเมินจากประวัติการซื้อขายหุ้นที่รายงานผ่านแบบฟอร์ม 246-2 บนเว็บไซต์ ก.ล.ต. ว่า พอร์ตหุ้นของ แคททาลียา บีเวอร์ และ สุภาภรณ์ สง่าเมือง อดีตภรรยานายเบนจามินที่ลึกลับยิ่งกว่า น่าจะมีขนาดไม่ต่ำกว่า 2,500 – 3,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
แคททาลียา บีเวอร์ ซื้อขายหุ้น big lot หลายรายการจนหลายคนสงสัยว่า “ถือแทน” คนอื่นหรือไม่ ดังสะท้อนผ่านบทความ “เปิดพอร์ต “แคทรียา บีเวอร์” อู้ฟู่ 1.1 พัน. ตามรอย “เสี่ยยักษ์”” บนเว็บไซต์ Hoonsmart วันที่ 6 กรกฎาคม 2020 (ปัจจุบันบทความถูกลบไปแล้ว แต่ยังอ่านได้จาก Wayback Machine) เนื้อหาบางตอนดังนี้
“เมื่อดูจากหุ้นที่ “แคทรียา” ถือแต่ละตัว เช่น QTC, UPA หรือ PACE แต่ละตัวถือจำนวนมาก ทำให้เชื่อว่า น่าจะเป็นการ “ถือแทน” ใครหรือไม่
“แคทรียา บีเวอร์” หรือ คิตตี้ เธอเป็นนางแบบชื่อดังระดับแถวหน้าของไทย แต่ด้วยวัยและนางแบบหน้าใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมาแทนที่ ทำให้เธอห่างหายจากแคตวอล์ค และมีชื่อโผล่ถือหุ้นหลายตัวในตลาดหุ้น
ดูจากหน้าที่การงานแล้ว เกือบจะฟันธงได้ว่า “เธอ” ถือหุ้นแทนใครคนหนึ่ง ที่ต้องสนิทชิดเชื้ออย่างมาก ถึงเชื่อใจให้ถือหุ้นที่มีมูลค่าระดับเป็น 1,000 ล้านบาทได้ และการเข้าถือหุ้น STGT จำนวน 16.322 ล้านหุ้น ยิ่งน่าคิด !!!!
ในวงการตลาดทุน ว่ากันว่า มีชาวต่างชาติชื่อ “บ” อายุราว 36 ปี เป็นชาวออสเตรเลีย ไม่มีชื่อเรียกที่แน่นอน เปลี่ยนชื่อเรียกไปเรื่อยๆ เข้ามาเมืองไทยหลายปีก่อน โดยหอบเงินหลายหมื่นล้านบาท เข้ามาเมืองไทย ฝรั่งคนนี้รู้จักทุกๆ คนที่เป็นนักธุรกิจ และนักธุรกิจหลายคนในตลาดหุ้นเคยได้พูดคุยเรื่องการลงทุนกับฝรั่ง “บ” คนนี้
แวดวงตลาดทุน พูดกันว่า “บ” เป็นนักลงทุนไม่ใช่สีขาว ไม่เปิดเผยตัวตน อาศัยอยู่ที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งแนวรถไฟฟ้า กลางเมืองย่านธุรกิจชื่อดังของกรุงเทพ มีภรรยาเป็นนางแบบชื่อดัง เงินที่หอบเข้ามา มีลงทุนในตลาดหุ้นและลงทุนโรงไฟฟ้า
“นักธุรกิจอสังหาฯ กลางถนนสาทร เคยถูกฝรั่งคนนี้หักมาแล้ว และแตกคอกับอดีตประธานผู้คุมตลาดหลักทรัพย์ ยุคที่เข้าไปลงทุนหุ้น QTC ว่ากันว่า ฝรั่งคนนี้อยู่ในก๊วนเดียวกับ “ว” วาณิชธนกิจไฮโซ ที่โยงไปถึง “เสี่ยรายใหญ่” ในตลาดหุ้นด้วย” แหล่งข่าวกล่าว”

หมุนเวลากลับมา 5 ปีถึงปัจจุบัน ชัดเจนจาก #มหากาพย์นายหน้า ก็น่าจะชัดเจนว่า “ชาวต่างชาติชื่อ บ” รายนั้นเป็นคนอื่นไม่ได้นอกจาก เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ สามีของเธอ
เนื้อหาในบทความข้างต้น บ่งบอกได้ดีถึงความ “ลึกลับ” ที่ “ลือกันให้แซด” ในหมู่นักเล่นหุ้น ว่า แคททาลียา บีเวอร์ และ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ นั้น ไม่น่าใช่ “นักลงทุนสีขาว”
ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับคำบอกเล่าของ “คนดัง” และ “นักการเมืองดัง” ในปัจจุบันหลายคน ที่ออกมารับรองออกสื่อว่า เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ เป็นคนเก่ง ไม่เกี่ยวกับสแกมเมอร์อย่างแน่นอน ฯลฯ
ส่วน ““ว” วาณิชธนกิจไฮโซ” ในบทความชิ้นนี้ ก็น่าจะหมายถึง วราห์ สุจริตกุล รองประธานกรรมการ บมจ. ฟินันเซีย เอ็กซ์ และกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้ลงนามในเอกสารรับรองการยื่นเรื่องขอแปลงสัญชาติของนายเบนจามิน จากการรายงานข่าวของสำนักข่าวอิศรา
สำหรับใครที่สงสัยว่า ปปง. เกี่ยวอะไรด้วย และควรทำอะไรมา 5 ปีแล้ว ผู้เขียนอยากนำเสนอภาคผนวก “ตัวอย่างพฤติกรรมที่อาจพิจารณาตรวจสอบว่ามีเหตุอันควรสงสัยหรือไม่” (ซึ่งถ้าเข้าข่าย บริษัทหลักทรัพย์มีหน้าที่รายงานเป็นธุรกรรมอันมีเหตุอันควรสงสัย – suspicious transaction ต่อ ปปง.) จากเอกสาร ปปง. เรื่อง “แนวทางปฏิบัติ เรื่อง การรายงานธุรกรรม สําหรับสถาบันการเงิน ประเภทบริษัทหลักทรัพย์” ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์มีหน้าที่รายงานตามกฎหมาย ปปง.

ตัวอย่างพฤติกรรม ข้อ (1) การซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งไม่สอดคล้องกับฐานะทางการเงินของลูกค้า และ (3) กรณีที่ลูกค้ารายเดียวกัน ขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ประเภทเดียวกันหลายบัญชี และมีการทำธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์มูลค่าสูงมากในแต่ละบัญชี จนอาจเชื่อได้ว่า ลูกค้ารับเปิดบัญชีแทนผู้อื่น หรือลูกค้าอาจมิใช่ผู้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากการซื้อขายหลักทรัพย์
ก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อย่างน้อยตั้งแต่ปี 2020 ปปง. เคยได้รับรายงาน “ธุรกรรมอันมีเหตุอันควรสงสัย” จากบริษัทหลักทรัพย์ที่ส่งคำสั่งซื้อขาย ธุรกรรม big lot ให้กับ แคททาลียา บีเวอร์ บ้างหรือไม่
และเมื่อวันนี้ ปปง. รู้แล้วว่ามีพิรุธมานานในสายตาคนเล่นหุ้น ปปง. จะไม่คิดทำงานเชิงรุกเลยหรือ
เริ่มต้นจากการเรียกบริษัทหลักทรัพย์ที่ แคททาลียา บีเวอร์ เป็นลูกค้า มาตรวจสอบและสอบถาม ในฐานะผู้มีหน้าที่รายงานธุรกรรม
Pingback