ใน #มหากาพย์นายหน้า ภาคไทยตอนที่แล้ว ผู้เขียนพาย้อนเวลาหาอดีตกลับไป 5 ปี สมัยที่ แคททาลียา บีเวอร์ ภรรยานาย เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ โด่งดังในแวดวงตลาดหุ้นในฐานะ “นักลงทุนกระเป๋าหนัก” ที่มีพอร์ตลงทุนหลักหลายพันล้าน โดยไม่ปรากฏว่ามีอาชีพใดๆ ที่จะอธิบายขนาดของการซื้อขายหุ้นระดับนี้ได้
ไม่เพียงการซื้อขาย big lot ในตลาดรองเท่านั้นที่สร้างความฮือฮา ในอดีตนักเล่นหุ้นยังลือกันให้แซดอีกว่า แคททาลียา บีเวอร์ มักได้ “หุ้นจอง” ในตลาดแรก (IPO) จำนวนมาก ในหมวด “ผู้มีอุปการคุณ” ทั้งที่ไม่ปรากฏว่าเคยมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจใดๆ กับบริษัทที่ขายหุ้นเข้าตลาด (จึงจะเข้าข่ายเป็น “ผู้มีอุปการคุณ” ของบริษัท)
ในตอนนี้ ผู้เขียนชวนเลี้ยวออกจากตลาดหุ้น มาส่องดูพอร์ตการลงทุนในบริษัทโฮลดิ้ง (ตั้งขึ้นมาลงทุนในบริษัทอื่น) และบริษัทที่(อ้างว่า)ตั้งมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ของ แคททาลียา บีเวอร์, กองทุน CAI Optimum Fund VCC จากสิงคโปร์ซึ่งเธอเป็นผู้จัดการร่วม และภรรยาของ ยิม เลียก เพื่อนสามี นาม วิษณี ยิม
(วิษณี ยิม ชื่อเดิมคือ วิษณี เทพเจริญ เป็นทายาทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หมื่นล้าน “ณุศาสิริ” (NUSA) บิดาและมารดาของเธออยู่ในกลุ่มอดีตกรรมการและผู้บริหารบริษัทรวม 6 ราย ซึ่งถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษในเดือนกันยายน 2024 ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณี “ธุรกรรมการเข้าลงทุนซื้อโรงแรมที่ต่างประเทศในราคาไม่สมเหตุสมผลอย่างมีนัยสำคัญ ธุรกรรมการขายห้องชุดของ NUSA ในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมิน รวมทั้งการผ่องถ่ายเงินจาก NUSA เข้าบัญชีส่วนตัวและบุคคลใกล้ชิด และกรณีการแสดงเอกสารและข้อมูลเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และ/หรือ ก.ล.ต. และผู้สอบบัญชี”)
เท่าที่รวบรวมได้จากฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ผู้เขียนพบว่า วิษณี ยิม ถือหุ้นหรือเคยถือหุ้นในบริษัทโฮลดิ้งและบริษัทที่ตั้งมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อย่างน้อย 5 แห่ง ในจำนวนนี้แจ้งเลิกกิจการไปแล้ว 1 แห่ง และ 1 แห่ง คือ บริษัท เจด เอ็มไพร์ จำกัด เป็นการลงทุนร่วมกับ แคททาลียา บีเวอร์ และ CAI Optimum Fund VCC – บริษัท เจด เอ็มไพร์ ดังกล่าว คือผู้ออกใบอนุญาตจ้างงาน นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ เป็นที่ปรึกษาและโครงการลงทุนในประเทศไทย ตามการรายงานข่าวของสำนักข่าวอิศรา
ส่วน แคททาลียา บีเวอร์ ถือหุ้นหรือเคยถือหุ้นในบริษัทโฮลดิ้งและบริษัทที่ตั้งมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างหากอย่างน้อย 7 แห่ง (ไม่นับบริษัท เจด เอ็มไพร์ จำกัด ข้างต้น) ในจำนวนนี้แจ้งยกเลิกกิจการไปแล้ว 3 แห่ง
ส่วน CAI Optimum Fund VCC กองทุนจากสิงคโปร์ซึ่งปรากฏชื่อ แคททาลียา บีเวอร์ เป็นผู้จัดการร่วม นอกจากจะถือหุ้น 49% ในบริษัท เจด เอ็มไพร์ แล้ว ยังถือหุ้น 49% ในบริษัท บิ๊ก ทัช 3 จำกัด ซึ่งซื้อจาก บมจ. แสนสิริ บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เจ้าใหญ่ในไทย มาในสนนราคา 610 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2025
ทั้งหมดนี้แปลว่า บุคคลเหล่านี้รวมกันถือหุ้น หรือเคยถือหุ้น ในบริษัทโฮลดิ้งและบริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่างน้อย 13 บริษัท นับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา

บริษัทเก่าแก่ที่สุดในกลุ่มนี้ที่ผู้เขียนค้นเจอ คือ บริษัท วินน์ เอสเตท จำกัด ซึ่ง แคททาลียา บีเวอร์ ปัจจุบันถือหุ้น 20% ก่อตั้งในปี 2015 และบริษัท โรยัล โอเรียนเต็ล แอสเซท จำกัด ซึ่ง แคททาลียา บีเวอร์ เคยถือหุ้น 50% ก่อตั้งในปี 2015 เช่นกัน แต่บริษัทหลังนี้แจ้งเลิกกิจการและชำระบัญชีไปแล้วในปี 2018
จากการอ่านงบการเงินปีล่าสุดและย้อนหลัง 3 ปี ของบริษัททั้ง 13 แห่งนี้ ผู้เขียนพบว่ามีบริษัทเพียง 3 แห่งเท่านั้นที่เคยบันทึก “รายได้” เป็นกอบเป็นกำ ได้แก่ วินน์ เอสเตท, บิ๊ก ทัช 3 และ บีไอซี ดีเวลลอปเม้นท์ (ไทยแลนด์)
วินน์ เอสเตท น่าจะมีความเกี่ยวโยงกับบริษัท วินน์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เมื่อดูจากประวัติการเปลี่ยนแปลงกรรมการ ส่วน บิ๊ก ทัช 3 ถือหุ้น 51% โดย บมจ. แสนสิริ ยักษ์ใหญ่ในวงการดังกล่าวข้างต้น
สำหรับบริษัทที่เหลืออีก 10 แห่ง ผู้เขียนพบว่าส่วนใหญ่ไม่เคยบันทึกรายได้เลย หรือไม่ก็มีรายได้ดอกเบี้ย(เงินฝาก)เพียงหลักพันหรือหลักหมื่นบาทเท่านั้นเอง – แสดงว่าตั้งมาเพื่อ “ถือทรัพย์สิน” อย่างเดียว
บางบริษัทที่ปรากฏในข่าวอย่าง บริษัท เอเพ็กซ์ เอควิตี้ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่ง แคททาลียา บีเวอร์ ถือหุ้นเกือบ 100% และมีทุนจดทะเบียนเพียง 2 ล้านบาท ยังไม่รายงานมูลค่าของห้องชุดโครงการหรูในนิวยอร์ก ที่เข้าซื้อในปี 2024 มูลค่า 20.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากยังไม่ส่งงบการเงินประจำปี 2024
งบดุลบางบริษัท อาทิ เจด เอ็มไพร์, นาใต้ บีช โฮลดิ้ง และ วินน์ เอสเตท บันทึกมูลค่าอสังหาที่ถือเป็น “สินค้าคงเหลือสุทธิ” (ยอดคงเหลือ ณ สิ้นปี 2024 ของสามบริษัทดังกล่าว อยู่ที่ 512 ล้านบาท, 675.9 ล้านบาท และ 0 บาท ตามลำดับ) แต่ไม่พบว่าอสังหาดังกล่าวคือโครงการใดบ้าง
บริษัทโฮลดิ้งและบริษัทอสังหาที่บุคคลกลุ่มนี้เข้าถือหุ้น ทั้งที่ยังดำเนินกิจการอยู่และเลิกกิจการแล้ว ทั้งหมดมีทุนจดทะเบียนรวมกันเกือบ 4,400 ล้านบาท
เงินลงทุนทั้งหมดนี้ของพวกเขาและพันธมิตรทางธุรกิจ ถูกนำไปลงทุนในโครงการใดบ้าง? และเป็นเงินจากไหน?
ณ ต้นเดือนพฤศจิกายน 2025 คำตอบยังล่องลอยอยู่ในสายลม คงต้องหวังให้สื่อมวลชนและกูรูในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ช่วยกันแกะรอยตามล่าหา “โครงการอสังหา” ที่บริษัทเหล่านี้เข้าไปลงทุน ว่าตั้งอยู่ที่ใดบ้าง
เป็นโครงการที่มีตัวตนอย่างคอนโดมูลค่า 20.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐในนิวยอร์ก หรือบางโครงการสุ่มเสี่ยงจะเป็นเพียง “ตัวเลข” บนกระดาษเท่านั้นหรือไม่
ความลับเหล่านี้ แท้ที่จริง “ผู้สอบบัญชี” น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการไขคำตอบได้ดีที่สุด เนื่องจากในกระบวนการตรวจสอบบัญชีต้องขอดูโฉนดที่ดิน หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด หรือเอกสารอื่นๆ ที่แสดงความเป็นเจ้าของ
โดยเฉพาะสำหรับบริษัทไม่ได้ตั้งขึ้นมาทำ “ธุรกิจ” ขายสินค้าหรือบริการใดๆ แต่ตั้งขึ้นเพื่อ “ลงทุน” ในอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก
Pingback