ณ วันที่ 26 ตุลาคม นานกว่าสองเดือนหลังจากที่คุณ ทอม ไรท์ ร่วมกับ แบรดลีย์ โฮป สองนักข่าวเจาะระดับโลก เปิดโปง #มหากาพย์นายหน้า อย่างต่อเนื่องเป็นซีรีส์บทความอันร้อนแรงบนบล็อก Whale Hunting น่าเสียดายที่เรายังไม่ได้เห็นการเริ่มลงมือ “สอบสวน” เรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมเท่าไรนักจากรัฐบาลอนุทิน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ตำรวจ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
ทั้งที่ ยิม เลียก (Yim Leak) และ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Benjamin Mauerberger) สองตัวละครสำคัญในมหากาพย์นี้ นอกจากจะปรากฎชื่อในร่างกฎหมายคว่ำบาตรของสภาคองเกรสสหรัฐ (เสนอในเดือนกันยายน 2025) แล้ว ข่าวสืบสวนสอบสวนจำนวนไม่น้อยในรอบหลายปีที่ผ่านมา อาทิ “Rescue Reveals Scam Compound at Koh Kong’s UDG” โดย Voice of Democracy ตั้งแต่ปี 2022 (ถูกทางการกัมพูชาสั่งปิด) ยังฉายภาพชัดเจนถึง “ความโหดร้าย” ที่เกิดขึ้นในศูนย์คอลเซ็นเตอร์ในโครงการลองเบย์ของ เจิ้งเหิง กรุ๊ป (ZhengHeng)
กลุ่มเจิ้งเหิงก่อตั้งโดยชาวจีนนาม เติ้ง พิบิง (Deng Pibing) (ต่อมาได้สัญชาติเป็นพลเมืองกัมพูชา) ระบุอย่างชัดเจนบนเว็บไซต์ว่า BIC Bank และ BIC Security บริษัทของ ยิม เลียก เป็น “หุ้นส่วนทางธุรกิจ” ของบริษัท ต่อมาเจิ้งเหิงและ เติ้ง พิบิง ถูกทางการสหรัฐ อังกฤษ และแคนาดา ประกาศคว่ำบาตรในเดือนธันวาคม 2023
พูดอีกอย่างคือ ทางการไทย รวมถึงคนไทยทุกคนที่ร่วมทำธุรกิจหรือให้บริการ ยิม เลียก และ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ควร “เอะใจ” ว่าสองคนนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา อย่างน้อยๆ ก็ตั้งแต่ต้นปี 2024 หรือเกือบสองปีที่แล้ว! (ถ้ายังไม่เอะใจจากไลฟ์สไตล์อู้ฟู่หรูหราของทั้งคู่)
(อ่านรายละเอียดความเกี่ยวโยงได้ในบทความ “The $1.5B Chinese-Cambodian Network’s Dark Secret: How Trafficked Workers and American Victims Fund Yachts, Jets, and Political Elites” โดย เจค็อบ ซิมส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามพรมแดน)
ซีรีส์ข่าวเจาะ #มหากาพย์นายหน้า ภาคอินเตอร์ โดย ทอม ไรท์ ร่วมกับ แบรดลีย์ โฮป นำเสนอประเด็น ข้อมูลเชิงลึก และตัวละครที่เกี่ยวข้องมากมาย สำหรับผู้ที่ไม่เคยติดตาม ผู้เขียนแนะนำให้เริ่มอ่านจากบทความ “A Reporter’s Notebook: The Two-Year Hunt for a $1.5 Billion Scam Empire That Started with a Single Private Jet” แล้วค่อยกลับมาอ่านชิ้นหลังๆ
ในบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนอยากสรุปเฉพาะประเด็นในซีรีสืนี้ ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทย ซึ่งมองว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต้องเร่งดำเนินการสอบสวนและเปิดเผยผลการสอบสวนต่อสาธารณะโดยเร็ว
เนื่องจากประเด็นเหล่านี้ส่งผลสะเทือนอย่างมากต่อ “ความน่าเชื่อถือ” ของตลาดทุน โดยเฉพาะข้อกล่าวหาที่ว่า ตลาดทุนไทยได้กลายเป็นทั้ง “แหล่งฟอกเงิน” และ “บริษัทจดทะเบียนบางแห่งถูกครอบงำอย่างลับๆ เพื่อใช้เป็นกลไกฟอกเงินต่อเนื่อง” ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากกัมพูชา!
หากพบว่ากรณีใดมีการกระทำผิดกฎหมายหลักทรัพย์ ก.ล.ต. ก็มีหน้าที่เอาผิด และหากพบเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ก.ล.ต. ก็มีหน้าที่ประสานกับ ปปง. ตำรวจ และหน่วยงานอื่น
ผู้เขียนเห็นว่า ณ วันที่ 26 ตุลาคม มี 5 ประเด็นสำคัญ จาก #มหากาพย์นายหน้า ที่ ก.ล.ต. ต้องเร่งสอบสวนให้กระจ่าง ดังต่อไปนี้
1. บริษัท ฟินันเซีย เอกซ์ จำกัด มหาชน (“FSX”) ถูกเทคโอเวอร์อย่างลับๆ ทำให้อำนาจควบคุมบริษัทวันนี้อยู่ในมือกลุ่ม Mauerberger + KuCoin จริงหรือไม่ ? –> ซีรีส์บทความ ทอม ไรท์ เสนอว่า ผู้ถือหุ้นต่อไปนี้เป็น “กลุ่มเดียวกัน” ถือหุ้นรวมกันเกือบ 52% —
- Beteverse (จดทะเบียนในหมู่เกาะ Seychelles) ถือหุ้นเกือบ 10%
- Rapidfire Technologies (จดทะเบียนในฮ่องกง) ถือหุ้นเกือบ 10%
- สุภารัตน์ สง่าเมือง อดีตภรรยานายเมาเออร์เบอร์เกอร์ ถือหุ้น 7.82%
- Pilgrim Finansa Investment Holdings (PFIH) ถือหุ้น 24% –> บนกระดาษ ดูเหมือนว่า PFIH ยังถือหุ้นก้อนนี้โดยมี Capital Asia Investments (CAI) เป็นผู้จัดการ แต่เอกสารการโอน credit fund ที่ ทอม ไรท์ นำมาเปิดโปง เสนอว่าธุรกรรมที่แท้จริง (และทำอย่างลับๆ) คือ ความเป็นเจ้าของ credit fund (ซึ่งมีสถานะเป็น “เจ้าหนี้” ของ PFIH โดยมีหุ้น 24% ใน FSX เป็นหลักประกัน) ถูกเปลี่ยนมือไปเป็นของ Beteverse แล้ว ในเดือนมกราคม 2025 โดยเอกสารระบุว่า Beteverse จ่าย แคททาลียา บีวอร์ ภรรยา เบน สมิธ เป็นเงินคริปโต 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับเป็นการชำระคืนเงินกู้บวกดอกเบี้ยที่ CAI ปล่อยให้กับ PFIH ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2021 จำนวน 693 ล้านบาท (รายละเอียดในคำเสนอซื้อหุ้น Finansia Syrus Securities (FSS) ซึ่งต่อมา FSS ถูก delist ออกจากตลาดและแลกเป็นหุ้น FSX ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ดังนั้น 24% ใน FSS จึงกลายมาเป็น 24% ใน FSX) ส่วน กนกพร ศีตวรรัตน์ ได้รับเงินคริปโต 2.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในที่อยู่ wallet เดียวกันกับแคททาลียา นัยว่าเป็น “ค่าตอบแทน” ที่ วรภัค ธันยาวงษ์ (เจ้าของเดิมที่เคยถือหุ้น 60% ใน PFIH) ตกลงให้ใช้หุ้น FSS / FSX ที่ PFIH ถือ เป็นหลักประกันเงินกู้ CAI และยอมทำธุรกรรมลับๆ กับ Beteverse ในอีกสี่ปีต่อมา
(หากมีการครอบงำกิจการ 52% โดยกลุ่ม Mauerberger + KuCoin จริง จะผิดกฎหมายหลักทรัพย์และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ อาทิ การไม่รายงานการถือครองหุ้นทุก 5% ที่ต้องรวมบุคคลกลุ่มเดียวกัน, การไม่ทำคำเสนอซื้อ (mandatory tender offer) ที่เส้น 25% และ 50%, การไม่ขออนุญาต ก.ล.ต. เมื่อจะมีผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ (ถือหุ้น 10%) ในบริษัทหลักทรัพย์ ฯลฯ)
2. ใครคือผู้รับประโยชน์ที่แท้จริง (ultimate beneficiary) เบื้องหลัง อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี กลุ่มนักลงทุนลึกลับที่มาไล่ซื้อหุ้น บริษัท บางจาก จำกัด (มหาชน) (“BCP”) จนได้หุ้นถึง 20% ในเดือนเมษายน 2025 ? –> เนื่องจากมีโครงสร้างการถือหุ้นที่ซับซ้อน การถือหุ้นชั้นสุดท้ายถือผ่าน “แพล็ตฟอร์ม securitization” ซึ่งจดทะเบียนในประเทศลักเซมเบิร์ก ผู้ถือหุ้นกู้หรือหน่วยลงทุนที่เสนอขายผ่านแพล็ตฟอร์มนี้ เช่น Bangchak Basket Tracker สามารถเปลี่ยนมือได้ และตัวตนของผู้ถือไม่ใช่ข้อมูลสาธารณะ ทำให้เกิดคำถามว่า ก.ล.ต. จะทราบได้อย่างไรว่าใครมี interest หรือเป็น beneficial owner ในหุ้น BCP ในส่วนนี้
3. การบริหารจัดการกลุ่มบริษัท ERX และกลุ่มบริษัท TIDC มีชื่อ George Tan ซึ่งเป็น Chief Commercial Officer ของ CAI เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามบริษัทส่วนใหญ่ (3 จาก 5 บริษัท กรณี ERX) หรือทั้งหมด (4 จาก 4 บริษัท กรณี TIDC) ทั้งที่ไม่มีชื่อ CAI ปรากฏเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทสองกลุ่มนี้ –> ก.ล.ต.ควรสอบสวนว่า George Tan มานั่งเป็นกรรมการบริษัทสองกลุ่มนี้ในฐานะใด CAI มีบทบาทอย่างไร เนื่องจาก ERX ดำเนินธุรกิจกระดานเทรดคริปโต (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น KuCoin Thailand) ที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ส่วน TIDC เป็นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจหลักของ WorldCoin ซึ่งมาสแกนม่านตาคนไทยแลกคริปโต (ข่าวล่าสุด ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2025 “ก.ล.ต. ผนึกตำรวจไซเบอร์ ทลายธุรกิจเถื่อนรับแลกเหรียญ WorldCoin” โดยแจ้งข้อหา ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต)
4. วันที่ 8 ตุลาคม 2025 ก.ล.ต. แถลงว่า ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันได้ว่า “เบน เบอร์เจอร์” เป็นคนเดียวกับ เบน สมิธ / เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือไม่ (หลังจากทนายของ เบน สมิธ ส่งหนังสือสอบถาม) –> แต่เพียงสองวันหลังจากนั้น ในวันที่ 10 ตุลาคม 2025 ทอม ไรท์ รายงานในบทความ “Who is Benjamin Berger? A Crucial Link in the Investigation of a South African Criminal Mastermind” ว่า พบตัว “นักแสดง” สองคนที่ถูกว่าจ้างให้รับบทเป็น Ben Berger และผู้ร่วมก่อตั้งกิจการ Tian Tian Ventures ดังนั้น ตำรวจและ ก.ล.ต. จึงสามารถติดต่อ “นักแสดง” ทั้งสองคนดังกล่าว เพื่อสอบสวนว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง เพื่อจะได้ดำเนินคดีกับ “เบน เบอร์เจอร์” ตัวจริง ได้เสียที
(เบน เบอร์เจอร์ ถูก ก.ล.ต. กล่าวโทษว่า “เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2562 ในงานประชุมนักลงทุน Tian Tian Ventures ประจำปี 2019 ที่โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ นายเบนจามิน เบอร์เจอร์ (Benjamin Berger) เป็นผู้นำเสนอขายหุ้น เทียน เทียน เวนเชอร์ส (Tian Tian Ventures) ต่อประชาชนโดยไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน” ปัจจุบันผ่านมา 4 ปี กรณีดังกล่าว “ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ” ตามข้อมูลบนเว็บไซต์ ก.ล.ต.)
5. #มหากาพย์นายหน้า เต็มไปด้วยตัวละครและผู้เกี่ยวข้องมากมาย (ดูแผนผังได้ที่นี่) นิติบุคคลหลายแห่งที่อาจถูกใช้เป็นนอมินีเพื่ออำพรางเจ้าของหุ้นที่แท้จริง จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ –> ดังนั้น ก.ล.ต. จึงต้องประสานความร่วมมือกับ Monetary Authority of Singapore (MAS) เพื่อขอข้อมูล “ผู้รับประโยชน์ที่แท้จริง” (ultimate beneficiary) และข้อมูลหลักฐานการจดทะเบียน งบการเงิน ฯลฯ เบื้องหลังนิติบุคคลสิงคโปร์ที่เกี่ยวข้องกับมหากาพย์นี้ ดังต่อไปนี้
- Capital Asia Investments (CAI)
- CAI Optimum Fund VCC
- Pilgrim Finansa Investment Holdings
- Credit Fund ภายใต้ CAI (ถูกอ้างอิงในบทความ ทอม ไรท์)
- Apex Alpha 8 VCC (ถือหุ้นทางอ้อมราว 25% ใน ERX Co. Ltd.)
- Prime Opportunity Fund VCC (ถือหุ้นทางอ้อมราว 74% ใน TIDC Co. Ltd.)
Pingback