ย้อนไปเมื่อเดือนกันยายน ปี 2550 ผู้เขียนได้รับเกียรติจากอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เชิญไปแลกเปลี่ยนเรื่อง “ระบบทุนนิยม” ที่เชียงใหม่ ปีต่อมาการแลกเปลี่ยนครั้งนั้นได้รับการรวมเล่มตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ “ทุนนิยมที่มีหัวใจ: ทางเลือกใหม่แห่งการพัฒนา” (ดาวน์โหลดได้จากลิงก์นี้) โดยมีคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกรุณาเขียนคำนำ ความบางตอนว่า
“เมื่อตกลงกันว่าจะเปิดชั้นเรียนอีกครั้ง ประเด็นที่ทุกคนสนใจอยากเรียนรู้คือเรื่องของทุนนิยม เพราะเป็นเรื่องที่ครอบคลุมไปทุกปริมณฑลของโลกและชีวิต มีบทบาทมากจนต้องตั้งคำถามว่า ทุนนิยมควรเป็นอย่างไรกันแน่? ทุนนิยมที่เป็นธรรมมีหรือไม่? ยุคสมัยจากนี้ผู้คนจะเป็นอย่างไรต่อไป? ประชาชนอย่างเราจะมีที่ทางตรงไหนในบรรยากาศที่มีทุนนิยมเป็นลมหายใจ? มีตัวอย่างอันควรแก่การเรียนรู้อะไรบ้างที่เราจะสามารถใช้ระบบนี้อย่างมีประสิทธิภาพได้?
“…มีกรณีศึกษามากมายที่น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์ประกันอากาศ, ระบบเงินตราแบบใหม่, บริษัทตัวอย่างที่ทำธุรกิจเพื่อสังคม, โครงการที่ชาวบ้านดูแลบริหารจัดการในประเทศซิมบับเว และเรื่องของธนาคารกรามีน ธนาคารเพื่อคนจน ที่สำคัญคือ ทั้งหมดนี้มีบางกรณีที่เริ่มนำมาใช้ในประเทศไทยบ้างแล้ว”
สิบแปดปีต่อมา ผู้เขียนได้รับเกียรดิให้ไปร่วมวงเสวนาหัวข้อ “เศรษฐกิจ-การเมือง ที่มีสมองและหัวใจ” ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ในงานปาฐกถา นิธิ เอียวศรีวงศ์ ประจำปี ซึ่งจัดขึ้นปีนี้เป็นปีแรก ในวันครบรอบวันเสียชีวิต 2 ปี ของอาจารย์
ในเมื่อหัวข้อวงเสวนาครั้งนี้ราวกับจะชี้ชวนให้ผู้เขียนกลับไปทบทวนการแลกเปลี่ยนเรื่อง “ทุนนิยมที่มีหัวใจ” เกือบสองทศวรรษที่แล้ว ณ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ผู้เขียนจึงคิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้หวนกลับไปติดตามดูประเด็นต่างๆ ที่หยิบยกขึ้นมาในวันนั้น เพื่อพยายามตอบคำถามว่า วันนี้ “ทุนนิยมที่มีหัวใจ” ยังเป็น “ทางเลือกใหม่ในการพัฒนา” อยู่หรือไม่
คำตอบสั้นๆ ในวันนี้ของผู้เขียนคือ ขึ้นชื่อว่า “ทุนนิยม” ย่อมไร้หัวใจ ดังนั้นประชาธิปไตยต้องกำกับ
เหตุผลก็เนื่องจาก แนวคิด เครื่องมือ และสถาบันต่างๆ ที่ผู้เขียนเคยหยิบยกมาแลกเปลี่ยน ณ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ด้วยความหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะประกอบสร้างเป็นระบบนิเวศใหม่ทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะเอื้อให้ “ทุนนิยมที่มีหัวใจ” สามารถเติบโตเป็นทุนนิยมกระแสหลักได้นั้น ทุกวันนี้หลายส่วนถูกคุกคามหรือยึดกุม (captured) โดยกลุ่มทุนผูกขาดที่เถลิงอำนาจเหนือรัฐ ไม่ว่าจะเป็นทุนผูกขาดต่างธุรกิจในไทย หรือทุนผูกขาดธุรกิจเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาที่กระจายข่าวลวง-ข่าวปลอม-ข่าวหลอก ส่งอิทธิพลเหนือความรู้สึกนึกคิดของผู้คนผ่านอัลกอริทึม ตอกลิ่มความขัดแย้งในสังคมให้ร้าวลึกลงกว่าเดิมบนเส้นทางแสวงกำไรสูงสุด
ธุรกิจที่รับผิดชอบ/ยั่งยืนเริ่มเป็นกระแส แต่ภาวะโลกเดือดแรงเร็วกว่า
ย้อนไปเมื่อ 18 ปีที่แล้ว ผู้เขียนพูดถึงแนวคิด เครื่องมือ และสถาบันต่างๆ ที่น่าจะมีส่วนสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเกิด “ทุนนิยมที่มีหัวใจ” ได้ ตั้งแต่ “ทุนนิยมธรรมชาติ” (natural capitalism), ความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท (CSR) และไตรกำไรสุทธิ (Triple Bottom Line), การลงทุนที่รับผิดชอบต่อสังคม (Socially Responsible Investment: SRI), โอเพ่นซอร์ส, อินเทอร์เน็ต (นานก่อนการมาถึงของ web 2.0 และสื่อโซเชียลทั้งหลาย) ในฐานะเครื่องมือเพิ่มพลังพลเมือง, เทคโนโลยีเหมาะสม (appropriate technology) และ กิจการเพื่อสังคม (social enterprise)
จุดร่วมที่เหมือนกันของสิ่งเหล่านี้ในสายตาของผู้เขียนคือ ช่วยผลักดันให้ภาคธุรกิจมีทั้งความรับผิด (accountability) และรับผิดชอบ (responsible) ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือไม่ก็ช่วย “เพิ่มพลัง” ให้กับคนตัวเล็กในสังคม ทั้งในการใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมือง ในหมวกพลเมือง และการใช้สิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ในหมวกผู้ประกอบการรายย่อย
สิ่งที่ผู้เขียนพูดถึงบางอย่าง ซึ่งเป็นเพียงวงการเล็กๆ เกือบสองทศวรรษที่แล้ว วันนี้ได้ขยับขยายกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมกระแสหลักในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น วงการการลงทุนที่รับผิดชอบต่อสังคม (ซึ่งวันนี้ฝั่งกองทุนเป็นที่รู้จักในชื่อ “กองทุนเพื่อความยั่งยืน” หรือ Sustainable Funds และนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ทางสังคมเป็นหลักก็ได้ชื่อว่า “นักลงทุนเน้นคุณค่า” หรือ Impact Investors) วงการกิจการเพื่อสังคม และวงการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท ซึ่งอย่างหลังวันนี้ย้ายจุดสนใจมาอยู่ที่ การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาล เรียกรวมๆ ว่า “ESG risks” มองจากมุมมองของนักลงทุน
อย่างไรก็ดี แวดวงด้านบวกเหล่านี้โดยรวมก็ยังมีพลังและอิทธิพลน้อยเกินไปที่จะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจทั้งระบบให้มีหัวใจ มองการณ์ไกล และโอบอุ้มคนทั้งสังคมมากขึ้น ในขณะที่ “ผลกระทบภายนอกเชิงลบ” (negative externalities) ของระบบทุนนิยม โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อม เติบโตขยายใหญ่ลุกลามจนคุกคามทุนนิยมทั้งระบบ
ยกตัวอย่างเช่น มูลค่าของ “กองทุน ESG” (กองทุนที่ใช้ตัวชี้วัดความรับผิดชอบด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาลของธุรกิจเป็นเกณฑ์หลักในการลงทุน) ทั่วโลกแตะระดับ 37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาส 2 ปี 2025 คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 28 มูลค่าการลงทุนทั่วโลก (ดูกราฟด้านล่าง รวบรวมข้อมูลและพล็อตโดย Claude (AI ของบริษัท Anthropic สอบทานโดยผู้เขียน) โดยมีอัตราการเติบโตถึง 61% ในรอบ 10 ปี ระหว่าง มิถุนายน 2015 – มิถุนายน 2025

อย่างไรก็ดี วงการนี้ปัจจุบันยังเต็มไปด้วยปัญหาการฟอกเขียว (greenwashing), สัญญาที่กลวงเปล่าของ “หุ้นกู้เขียว” และคำกล่าวอ้างเกินจริงอีกมากมาย ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายสิบแห่งที่โดนรัฐสั่งปรับเป็นหลักหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ในข้อหาฟอกเขียว รวมถึงบริษัทชื่อดังอย่าง โฟล์คสวาเกน, โตโยต้า, โกลด์แมน แซคส์, วอลมาร์ท, เอ็ชแอนด์เอ็ม เป็นต้น
(ในประเทศไทย ยังไม่มีบริษัทไหนเคยโดนสอบสวนหรือสั่งปรับในข้อหาฟอกเขียว ไม่ใช่เพราะไม่มีบริษัทไหนฟอกเขียว แต่เป็นเพราะเรื่องนี้ยังไม่เคยถูกบัญญัติขึ้นเป็นกฎหมายอย่างเฉพาะเจาะจง อีกทั้งขอบเขต “โฆษณาเกินจริง” ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ยังไม่เคยถูกขยายแนวปฏิบัติไปรวมการโฆษณาเกินจริงเรื่อง “รักษ์โลก” ด้วย)
ในขณะเดียวกัน แนวคิดเรื่อง “ทุนนิยมธรรมชาติ” (natural capitalism) ที่เสนอร่วมกันโดย พอล ฮอว์เคน, อาโมรี ลอวินส์ และ ฮันเตอร์ ลอวินส์ วันนี้ยิ่งดูเลือนรางห่างไกลความเป็นจริงยิ่งกว่าเดิม ด้วยความรุนแรงเร่งด่วนของภาวะโลกรวน – หนึ่งในผลกระทบภายนอกเชิงลบ (negative externalities) ของระบบทุนนิยม และความล้มเหลวของตลาด (market failure) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทุนนิยม
วันนี้ภาวะโลกรวนรุนแรงยกระดับเป็นภาวะโลกเดือด (global boiling) ซึ่งผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มเปราะบาง ดังนั้นถ้าเราไม่เร่งรับมือกับภาวะโลกเดือด ไม่ลงทุนเพื่อปรับตัวต่อโลกรวน (climate change adaptation) ความเสียหายก็จะตกกับกลุ่มเปราะบางมากที่สุด ซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำซึ่งถ่างกว้างอย่างยิ่งอยู่แล้วให้ถ่างกว้างยิ่งกว่าเดิมอีก ยังไม่นับว่าประเทศไทยยังขาดแคลนเงินทุนที่จำเป็นต่อการปรับตัวต่อความเสียหายจากภาวะโลกเดือด ซึ่งคาดการณ์ว่าความเสียหายนี้จะแตะ 1 ล้านล้านบาทต่อปีในอนาคต ขณะที่การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวเกือบทั้งหมดยังมาจากงบประมาณภาครัฐเป็นหลัก และราวสามในสี่เน้นโครงสร้างพื้นฐานสีเทา (gray infrastructure หมายถึงโครงสร้างที่ใช้วัสดุแข็งอย่าง คอนกรีต เหล็ก และหิน) ด้านการชลประทานเพื่อป้องกันภัยแล้งและน้ำท่วม ซึ่งมีคำถามดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงความจำเป็น-เหมาะสม-คุ้มค่า-ทันสมัยในยุคโลกเดือด ที่โครงสร้างสีเขียวอาจรับมือได้ดีกว่าสีเทา
สรุปสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมได้ว่า ภาวะโลกเดือด – ย้ำอีกครั้งว่าเป็น “ความล้มเหลวของตลาด” ดังนั้นจะปล่อยให้ตลาดจัดการตัวเองไม่ได้ – จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนคุกคามความอยู่รอดของมนุษยชาติ ในเดือนเมษายน 2025 กุนเธอร์ ทาลลิงเงอ กรรมการบริษัท อลิอันซ์ (Allianz) บริษัทประกันยักษ์ใหญ่ของโลก ออกมาประสานเสียงกับผู้บริหารบริษัทประกันรายอื่น เตือนผ่านสื่อว่า วิกฤติสภาพภูมิอากาศกำลังจะถึงจุดที่ธุรกิจประกันไม่สามารถรับประกันความเสี่ยงที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศได้อีกต่อไป
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงระบบทุนนิยมในรูปแบบที่เราคุ้นเคยก็อาจล่มสลาย เพราะบริการทางการเงินและกิจกรรมทางเศรษฐกิจสมัยใหม่แทบทั้งหมดต้องอาศัยกลไกประกันความเสี่ยง ตั้งแต่สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ การลงทุน การส่งสินค้าทางเรือ ฯลฯ

หมดยุคอินเทอร์เน็ตในอุดมคติ สู่ยุค “ศักดินาเทคโนโลยี” และ “จักรวรรดิ AI”
เมื่อครั้งไปแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ยุคอินเทอร์เน็ต 1.0 ก่อนการมาถึงของสื่อโซเชียลยอดนิยมทั้งหลาย ไม่ว่า เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ติ๊กต่อก ฯลฯ ผู้เขียนก็ไม่ต่างจากคนจำนวนมากในยุคนั้นที่มองอินเทอร์เน็ตในแง่ดี(มาก) ว่าจะช่วยเพิ่มพลังพลเมือง เพิ่มความหลากหลายของสื่อเพราะทำให้ “ทุกคนเป็นสื่อได้” เพิ่มกลไกประชาธิปไตยทางตรง เสริมพลังให้กับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ฯลฯ
(ความไร้เดียงสา มองอินเทอร์เน็ตในแง่ดีของผู้เขียนในยุคก่อนการมาถึงของสื่อโซเชียล รวมเล่มเป็นหนังสือชื่อ Digital Future (2015) ใครสนใจดาวน์โหลดได้จากลิงก์นี้)
ตัวอย่างที่นำไปแลกเปลี่ยนจึงเป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดในโลกออนไลน์ เช่น ความสำเร็จของลินุกซ์กับโมเดล open source หรือ “พลังมวลชน” (crowdsourcing) ที่ทำให้วิกิพีเดียกลายเป็นสารานุกรมออนไลน์ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูง เปลี่ยนความคิดเดิมที่ว่าองค์ความรู้ต่างๆ จำเป็นต้องผลิตและเผยแพร่โดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น
หมุนเวลามาถึงปัจจุบัน คงไม่ต้องสาธยายให้มากความถึง “ด้านมืด” ของอินเทอร์เน็ต 2.0 ยุคที่เนื้อหาออนไลน์ที่เราเสพและมีปฏิสัมพันธ์ ถูกคัดกรอง-คัดสรร ผ่านอัลกอริทึมของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง กูเกิล เมตา (เฟซบุ๊ก) อินสตาแกรม ติ๊กต่อก ฯลฯ มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ชัดว่า อัลกอริทึมของโซเชียลแพล็ตฟอร์มทั้งหลายถูกออกแบบมาทำให้เกิดการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ (engagement) สูงสุด เพื่อสร้างกำไรสูงสุดให้กับบริษัทเจ้าของแพล็ตฟอร์ม ดังนั้นอัลกอริทึมจึงเน้นนำเสนอเนื้อหาอะไรก็ตามที่ดึงดูดการมีส่วนร่วม ซึ่งก็มักจะเป็นเนื้อหาสุดขั้วที่ปลุกเร้าความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งที่ดึงดูดให้คนแสดงความคิดเห็น กดไลก์และกดแชร์ ตัวอย่างในเดือนสิงหาคม 2568 ในช่วงที่ไทยเกิดข้อพิพาทเรื่องชายแดนกับกัมพูชาที่ทำให้ทหารและพลเรือนนับพันล้มตายและบาดเจ็บ คนหลายแสนทั้งสองชาติต้องอพยพหนีภัย ก็อย่างเช่น เนื้อหาที่กระพือความเกลียดชนชาติเขมร ซึ่งก็มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่งมากมายผสมปนเปกัน
ในเมื่อเนื้อหาที่มีแนวโน้มสุดโต่งมักสร้างการมีส่วนร่วมได้มากกว่าเนื้อหาธรรมดา และถ้าเราไม่ต้องเน้นความจริง ก็ไม่ยากที่จะใครสร้างเนื้อหาสุดโต่งที่เป็นข่าวลวง ข่าวหลอก หรือเรื่องแต่งโดย AI อัลกอริทึมจึงกระจายเนื้อหาแบบนี้ให้คนเห็นมากกว่า ซ้ำเติมปัญหา “ห้องเสียงสะท้อน” และ “ฟองสบู่ตัวกรอง” ที่คนได้เห็นแต่เนื้อหาที่ตรงกับความเชื่อเดิมของตัวเอง ผลลัพธ์ก็คืออัลกอริทึมช่วยให้ข่าวลวงข่าวเท็จแพร่เร็ว ปิดกั้นไม่ให้คนเห็นข้อมูลและมุมมองที่หลากหลาย สุดท้ายทำให้คนโกรธมากขึ้นและตอกลิ่มความขัดแย้งแบ่งขั้วทางการเมืองให้ร้าวลึกลงกว่าเดิม
อัลกอริทึมไม่จำเป็นต้องถูกออกแบบในทางที่สร้างผลลัพธ์เพิ่มความแตกแยกในสังคม เราสามารถออกแบบอัลกอริทึมที่สร้างผลลัพธ์อื่น อาทิ Bridge-Based Ranking ซึ่งจงใจสร้าง “สะพาน” เชื่อมมุมมองที่หลากหลาย (ใช้จริงแล้วในโครงการอย่าง Polis แพล็ตฟอร์มออนไลน์สำหรับรวบรวมความเห็นสาธารณะ) แต่โชคร้ายที่โซเชียลแพล็ตฟอร์มยอดนิยมในโลกนี้ทั้งหมดอยู่ในมือของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ซึ่งมุ่งแสวงกำไรสูงสุด ไม่มีแรงจูงใจใดๆ ที่จะเปลี่ยนอัลกอริทึมให้เป็นมิตรต่อสังคมมากขึ้น – นี่คือข้อสรุปของ ยานิส วารูฟาคิส นักเศรษฐศาสตร์และอดีตรัฐมนตรีคลังของประเทศกรีซ นักวิพากษ์ระบบทุนนิยมสมัยใหม่ตัวยง วารูฟาคิสเสนอในหนังสือ “ศักดินาเทคโนโลยี” (Technofeudalism) ว่า เรากำลังอยู่ในยุคที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง กูเกิล เมตา และ แอมะซอน กำลังทำตัวเสมือนเจ้าศักดินาสมัยโบราณ มีอำนาจครอบงำรัฐและส่งผลต่อพฤติกรรมและตัวเลือกของเราในทางที่เราแทบไม่รู้ตัว ด้วยอำนาจมหาศาลเหนือข้อมูลและพื้นที่ดิจิทัล

นอกจากอำนาจมหาศาลของบริษัทเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ความเก่งขึ้นเรื่อยๆ ของ AI ซึ่งยักษ์เทคโนโลยีทุกแห่งต่างทุ่มเงินมหาศาลให้กับการพัฒนาและดึงตัวนักพัฒนา ก็เริ่มทำให้หลายคนกังวลว่า AI อาจมาแทนที่งานของตัวเอง ผู้บริหารบริษัท AI หลายคนออกมาเตือนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ดาริโอ อาโมได ซีอีโอของ Anthropic เตือนว่า AI อาจทดแทนงานแรกเข้าของพนักงานคอปกขาว (มนุษย์เงินเดือน) มากถึงร้อยละ 50 ภายในปี 2030
อย่างไรก็ดี พัฒนาการที่รวดเร็วของ AI ไม่ได้แปลว่าเราจำเป็นต้องรับสภาพ ไม่ได้แปลว่าเรามีได้เพียงสถานะ “ผู้ใช้งาน AI” หรือ “พนักงานที่หวั่นใจว่าเมื่อไหร่ AI จะมาแทนที่” แต่เรายังมีหมวก “พลเมืองตื่นตัว” ที่ตั้งคำถามได้ว่า ต้นทุนของ AI รวมถึง “ผลกระทบภายนอกเชิงลบ” ที่เราอาจมองไม่เห็นนั้นมีอะไรบ้าง วิธีพัฒนา AI มีแบบเดียวจริงหรือ และถ้ามีหลายแบบ เราควรเรียกร้องหรือเลือกแบบไหนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้าง “เศรษฐกิจฐานกว้าง” มากที่สุด เศรษฐกิจที่ความเจริญไม่กระจุกตัวอยู่ในมือทุนผูกขาดสายป่านไม่จำกัดไม่กี่ตระกูล
หนังสือที่ให้ภาพ “ต้นทุน” และ “ทางเลือก” ของการพัฒนา AI อย่างแจ่มชัดเล่มหนึ่งคือ Empire of AI (จักรวรรดิของ AI) เขียนโดย คาเรน หาว นักข่าวหัวเห็ดที่ติดตามบริษัท OpenAI อันโด่งดังมาตั้งแต่แรกตั้ง
ผู้เขียนรู้จัก คาเรน หาว ครั้งแรกจากบทความสนุกชิ้นหนึ่งของเธอในปี 2020 ลง MIT Technology Review นานสองปีก่อนที่ OpenAI จะปล่อย ChatGPT สู่สาธารณะ บทความนั้นเล่าเรื่องการเปลี่ยนทิศของ OpenAI ที่คนนอกไม่สังเกตเห็น เปลี่ยนวิสัยทัศน์องค์กรจากการเน้นงานวิจัย AI แบบเปิด มาเป็นการค่อยๆ จำกัดการเข้าถึงชุดข้อมูล ไม่เปิดเผยวิธีฝึกสอน (เทรน) โมเดล และการทำงานภายในองค์กรเริ่มถูกปิดลับมากขึ้น หาวเล่าอย่างน่าคิดว่า สิ่งที่ดูเหมือนการเปลี่ยนแปลงแบบรูทีนในองค์กร ณ ตอนนั้น ต่อมาจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ AI เปลี่ยนวิธีการแบ่งปันผลการวิจัย การพัฒนาโมเดล และวิวาทะว่าด้วย AI ทั่วโลก ในหนังสือ Empire of AI หาวอธิบายอย่างแจ่มชัดว่า วันนี้คนนอกมองไม่เห็นว่า “อะไร” อยู่ในชุดข้อมูล (datasets) ของ OpenAI อีกต่อไป แม้กระทั่งบริษัทเองก็ไม่รู้ตลอดเวลาว่าชุดข้อมูลที่ใช้เทรน AI นั้นมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ข้อมูลมันใหญ่เกินกว่าที่คนจะเข้าไปตรวจสอบอีกแล้ว จากการพยายามเพิ่มปริมาณข้อมูลอย่างบ้าคลั่งไม่ลดละ
ความ “ใหญ่เกินตรวจสอบ” อาจเป็นเรื่องที่คนนอกฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับนักวิจัย AI เพราะตลอดมา AI แขนง machine learning ซึ่งกลายมาเป็นกระแสหลักนั้น ตั้งอยู่บนหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เรียบง่าย นั่นคือ หลักการทำซ้ำได้ (reproducibility) พูดง่ายๆ คือ โมเดลควรมีพฤติกรรมแบบเดียวกันถ้าถูก “เทรน” ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน แต่ชุดข้อมูลมหึมาที่ไม่ได้ผ่านการคัดกรอง (uncurated datasets) ในปัจจุบันทำให้ “เงื่อนไข” เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้
หาวอธิบายอย่างน่าติดตามตลอดเล่มว่า ผู้เล่นทรงอิทธิพลจาก แซม อัลท์แมน ถึง อีลอน มัสก์ แทงข้างหลังกันและกลายร่างเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีอย่างไร เปลี่ยนจากการเชิดชูและเรียกร้อง “AI ที่ปลอดภัย” (ซึ่งมาพร้อมกับวัฒนธรรมพัฒนา AI แบบ “เปิด”) กลายเป็นการวิ่งแข่งในสนามสร้างกำไรสูงสุดที่เตะแนวคิด “เปิด” ใดๆ ออกไปนอกหน้าต่าง เพราะมันขัดแย้งกับแรงจูงใจในการสร้างกำไร (ซึ่งต้อง “ปิด” ความลับทางการค้าจากสายตาคู่แข่งให้ได้นานที่สุด) นอกจากนี้ เธอยังอธิบาย “ต้นทุน” ที่คนนอกมักมองไม่เห็นของการพัฒนา AI อย่างแจ่มชัด ตั้งแต่ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม – ดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับ AI ใช้พลังงานและน้ำมหาศาล สุ่มเสี่ยงจะซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนน้ำซึ่งในหลายพื้นที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในยุคโลกเดือด – และต้นทุนด้านสังคมในรูปการเอารัดเอาเปรียบแรงงาน คนที่ช่วย “สอน” AI (มักเรียกว่า งานแปะป้ายข้อมูล หรือ data labelling) มักเป็นผู้มีรายได้น้อยในประเทศกำลังพัฒนาที่ได้ค่าแรงต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำหลายเท่า ภายใต้เงื่อนไขการทำงานโหดหินที่บางคนเปรียบเปรยว่า “เหมือนเป็นทาสสมัยใหม่”
(บริษัท Scale AI ผู้ให้บริการ data labelling เจ้าดัง ซึ่งก่อตั้งโดย อเล็กซานเดอร์ หวัง หนุ่มน้อยพันล้านที่สื่อไทยหลายเจ้าลงข่าวตอนที่เขาไปทำงานกับเมตา ในเดือนธันวาคม 2024 บริษัทนี้ถูกฟ้องคดีกลุ่มในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ข้อหาหลบเลี่ยงกฎหมายแรงงานเพื่อบังคับให้แรงงานทำงานเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด)
หากมองด้วยสปิริตแบบอาจารย์นิธิ ผู้ให้ความสำคัญตลอดชีวิตกับการเพิ่มพลังให้กับคนตัวเล็ก และอยากให้เราตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ในฐานะ “พลเมือง” เราก็อาจตั้งคำถามกับ AI ได้ว่า เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วหรือ นอกจากวิธีพัฒนา AI แบบ “ปิด” และ “แสวงกำไรสูงสุด” ของ OpenAI และยักษ์เทคโนโลยีทั้งหลาย
คาเรน หาว ยกตัวอย่างใน Empire of AI ว่า แท้จริงเรามีและควรมีทางเลือก วิธีพัฒนา AI แบบ “จักรวรรดิ” ที่ถลุงใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่บันยะบันยัง ปิดกั้นไม่ให้คนนอกมองเห็นวิธีเทรน และเอาเปรียบแรงงานมนุษย์ – ละม้ายคล้ายเป็นเจ้าอาณานิคมสมัยใหม่ ไม่ใช่วิธีพัฒนา AI แบบเดียวที่เป็นไปได้ เธอยกตัวอย่างโครงการของ Te Hiku Media ในประเทศนิวซีแลนด์ เทรน AI เพื่ออนุรักษ์ภาษาของชนเผ่าเมารีที่ใกล้สูญพันธุ์เอาไว้ โดยใช้วิธีที่ผู้เข้าร่วมทุกคนต้องให้ความยินยอมและมีส่วนร่วมกับการพัฒนา เขียนสัญญาอนุญาตการใช้ข้อมูล (data license) ว่าองค์กรที่จะได้สิทธิเข้าถึงข้อมูลนี้จะต้องเคารพคุณค่าของเมารี เคารพในขอบเขตความยินยอม และส่งต่อประโยชน์ใดๆ ก็ตามที่จะเกิดจากการใช้ข้อมูล กลับไปให้กับชนเผ่าเมารี
ตัวอย่างของ Te Hiku Media ชี้ให้เห็นว่า เราสามารถพัฒนาและใช้ AI ในทางที่ให้คุณค่ากับชุมชน ตอบโจทย์ของท้องถิ่น และเคารพหลักการการให้ความยินยอม (consent) ได้ ยังไม่นับมีงานวิจัยมากมายที่พยายามศึกษาประเด็นใกล้เคียง เช่น การใส่คุณค่าประชาธิปไตยเข้าไปใน AI ของสื่อโซเชียล และผู้เขียนก็คิดว่า เราน่าจะสามารถประยุกต์ใช้แนวคิดเรื่อง “เทคโนโลยีที่เหมาะสม” มาขับเคลื่อนหรือพัฒนา “AI ที่เหมาะสม” (appropriate AI) สำหรับผู้ประกอบการรากหญ้าในไทยได้มากมาย เช่น พัฒนา Agentic AI ที่ช่วยผู้ประกอบการระดับท้องถิ่น หรือวิสาหกิจชุมชน
ทั้งหมดนี้เพียงแต่ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนหมวกจาก “ผู้บริโภค” ที่รอซื้อรอเสพอย่างเดียว เป็น “พลเมือง” ที่ตั้งคำถาม และพยายามหากลไกและเครื่องมือใหม่ๆ ที่ใช้ในการ “ต่อรอง” กับทุนใหญ่ และ “เรียกร้อง” กลไกประชาธิปไตยให้กำกับทุนผูกขาด – ไม่ว่าจะเป็นยักษ์เทคโนโลยีข้ามชาติ หรือทุนผูกขาดในประเทศ
สุดท้าย แม้ว่าผู้เขียนจะเชื่อแล้วว่า ระบบทุนนิยมย่อมไร้หัวใจ เพราะนายทุนที่มีหัวใจมีน้อยเกินกว่าจะคัดง้างอิทธิพลมหาศาลของนายทุนผูกขาดแล้งน้ำใจ และผลกระทบภายนอกจากทุนนิยมโดยเฉพาะโลกเดือดจะรุนแรงเกินต้านทาน ผู้เขียนก็ยังเชื่อมั่นเหมือนตอนที่ไปแลกเปลี่ยนเรื่อง “ทุนนิยมที่มีหัวใจ” ว่า
“…คนจำนวนมากพอจะต้องมองเห็นปัญหาและข้อบกพร่องของระบอบทุนนิยมกระแสหลักในปัจจุบัน เรียกร้องให้บริษัทที่ทำตัว ‘อันธพาล’ และ ‘มักง่าย’ ทั้งหลายหยุดรังแกผู้ด้อยโอกาสในสังคม มองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างชาวบ้านที่อยู่ต้นน้ำกับคนเมืองที่อยู่ปลายน้ำ ตระหนักในคุณค่าของระบบนิเวศ เคารพในภูมิปัญญาชาวบ้านและวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ไม่หลงใหลแบบโรแมนติกไร้เดียงสาเสียจนนำภูมิปัญญานั้นมาเชื่อมกับเทคโนโลยีและเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้านไม่ได้ เลิกยึดติดในค่านิยมเหลวแหลกที่ส่งเสริมพฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอก มักง่าย เห็นแก่ตัว และกำจัดทัศนคติคับแคบที่ไม่เคารพในความเห็นต่าง และ ‘พูด’ มากกว่า ‘ทำ’ ”
ในสปิริตของอาจารย์นิธิ ผู้มองวัฒนธรรมอย่างมีพลวัตและไม่แยกจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ผู้เขียนขอเสนอทิ้งท้ายว่า ในยุคที่สถาบันหลักของไทย ทั้ง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ถูกตั้งคำถามหรือเสื่อมศรัทธาอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน ภาระของพวกเราทุกคนน่าจะไม่ได้อยู่ที่การชี้ให้เห็นปัญหา (เพราะปัญหาส่งเสียงคำรามกึกก้องมากเกินพอแล้ว) เท่ากับการพยายามสร้าง “ความหมายใหม่” ที่แจ่มชัดให้กับสถาบันเหล่านี้ ในทางที่สอดคล้องกับคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย และระบอบเศรษฐกิจประชาธิปไตยที่กระจายประโยชน์อย่างทั่วถึง – ระบบที่นักธุรกิจน้อยใหญ่ยอมรับการกำกับโดยรัฐ และการตรวจสอบโดยประชาชน
You must be logged in to post a comment.