บทบาทของ “ตำรวจ” ที่(ยัง)หายไปใน #มหากาพย์นายหน้า

ตลอดหลายตอนที่ผ่านมาในซีรีส์ #มหากาพย์นายหน้า ผู้เขียนไล่เรียงความผิดปกติของธุรกรรมต่างๆ ในตลาดหุ้น ตลอดจนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเข้ามาลงทุนในบริษัทไทย และการก่อตั้งบริษัทใหม่ในไทย ของ แคททาลียา บีเวอร์ ภรรยา เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์, ยิม เลียก และภรรยาของเขา รวมถึง Capital Asia Investments (CAI) นิติบุคคลจากสิงคโปร์ซึ่งมี แคททาลียา บีเวอร์ เป็นผู้จัดการกองทุนของ CAI

ในธุรกรรมที่เกี่ยวกับ “หุ้น” เหล่านี้ ไม่ว่าหุ้นของบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น หรือบริษัทไทยนอกตลาด แน่นอนว่าหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือ สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลตลาดหุ้น และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในฐานะหน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบเส้นเงินของธุรกรรมต้องสงสัย และอายัดทรัพย์ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องหรือได้มาจากการฟอกเงิน

อย่างไรก็ดี ไม่ได้แปลว่า “ตำรวจ” ต้องรอจนกว่า ก.ล.ต. หรือ ปปง. จะประสานมาขอความร่วมมือในการสอบสวนแต่อย่างใด เพราะก็มีหลายประเด็นใน #มหากาพย์นายหน้า อันสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนนี้ ที่ตำรวจมีอำนาจเต็มในการสอบสวน

และอันที่จริงก็เป็น “หน้าที่” ของตำรวจด้วย

ประเด็นที่เป็น “หน้าที่” โดยตรงของตำรวจในเรื่องนี้มีอะไรบ้าง ผู้เขียนอยากยกตัวอย่าง 2 ประเด็นนี้ก่อน เพราะเป็นประเด็นร้อนที่ยังไม่เป็นข่าว – หรือไม่อีกที สำนักข่าวอาจเป็น “ผู้สมรู้ร่วมคิด” ในการฟอกขาวให้กับผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ประเด็นแรก คุณ ทอม ไรท์ นักข่าวเจาะหัวเห็ดผู้เจาะลึกและเปิดโปง #มหากาพย์นายหน้า ภาคอินเตอร์ เปิด “ข้อมูลใหม่” ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ในงานของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา

น่าเสียดายที่รายงานของสำนักข่าวส่วนใหญ่ในไทยที่ไปงานเสวนาดังกล่าว กลับไปให้ความสำคัญกับประเด็นปลีกย่อยที่ไม่สำคัญเท่าไรนัก (อย่างเช่นการปรากฏตัวของหัวหน้าพรรคประชาชนในงาน) มากกว่าการรายงาน “เนื้อหา” ที่ ทอม ไรท์ นำเสนอ รวมถึง “ข้อมูลใหม่” ที่เขาเปิดเผย

ข้อมูลใหม่ที่ว่านี้คือ ทอม ไรท์ อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ได้ใช้ “หนังสือเดินทางไทย” เข้าประเทศไทยเมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้ว (!)

สำนักข่าวแห่งเดียวที่ผู้เขียนพบว่ารายงานประเด็นนี้คือ ประชาไท โดยในรายงาน “เปิดปม ‘เบน สมิธ’ ใช้ ‘พาสปอร์ตไทย’ จี้รัฐเร่งสางปม MOU กระทรวงดิจิทัล” ระบุว่า

“ข้อมูลนี้ [ที่ว่าเบนจามินเดินทางเข้าไทยด้วยหนังสือเดินทางไทย] ขัดแย้งกับคำชี้แจงของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่าได้ปฏิเสธคำขอสัญชาติไทยของเบนจามินไปแล้ว ดังนั้นจำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า เบนจามินได้หนังสือเดินทางดังกล่าวมาด้วยวิธีการใด

“อย่างไรก็ดี ขบวนการปลอมแปลงหนังสือเดินทางนั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้วในไทย และมักมีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกระทำผิด โดยจะลักลอบ “เพิ่มชื่อ” บุคคลต่างด้าวเข้าไปในทะเบียนบ้านเพื่อให้ระบบสร้างเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักขึ้นมา จากนั้นบุคคลดังกล่าวจะนำเลขนี้ไปทำหนังสือเดินทางจนได้ “เล่มจริง” ที่มีชิปถูกต้อง เมื่อได้เล่มแล้ว เจ้าหน้าที่จะ “ลบชื่อ” ออกจากระบบทันทีเพื่อทำลายหลักฐาน ทำให้การตรวจสอบย้อนหลังทำได้ยาก

“คดีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เช่น ตำรวจเคยบุกจับกุมปลัดอำเภอในจังหวัดเชียงใหม่และกาญจนบุรี ที่ลักลอบขายบัตรประชาชนให้กลุ่มคนต่างด้าวด้วยวิธีการเพิ่มชื่อในระบบแลกกับเงินสินบนหลักแสนบาท นอกจากนี้ยังมีคดีของ ‘เสี่ยว เสี่ยวปอ’ นายทุนจีนเทาที่ถูกดีเอสไอจับกุมหลังพบว่าสวมบัตรประชาชนคนไทยเพื่อทำธุรกิจและซื้อที่ดิน โดยใช้วิธีจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านร้าง”

ประเด็นนี้จึงเป็น “เรื่องใหญ่” ที่ตำรวจต้องสอบสวน และ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยช่วงที่แหล่งข่าวบอกว่า เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ เดินทางเข้าไทยด้วยหนังสือเดินทางไทย ก็ควรต้องตอบคำถามสังคมเช่นกัน

ประเด็นที่สอง ตำรวจมีหน้าที่สอบสวนว่า ใครคือ “ผู้ว่าจ้าง” นาย ลอว์เรนซ์ เฟลด์แมน ครูสอนภาษาอังกฤษในประเทศจีน ซึ่งรับงานแสดงโฆษณาเป็นครั้งคราว

ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2562 เขาได้รับการว่าจ้างให้มารับบทเป็น “เบนจามิน เบอร์เจอร์” ซีอีโอของบริษัทปลอม Tian Tian Ventures ซึ่งถูกสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษในข้อหาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต

อย่างไรก็ดี กองบังคับการปราบปรามกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กลับดูจะ “หยุด” การสอบสวนไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 เมื่อขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในเดือนกรกฎาคม

สามปีถัดมา ทอม ไรท์ เปิดเผยในบทความ “Who is Benjamin Berger? A Crucial Link in the Investigation of a South African Criminal Mastermind” วันที่ 10 ตุลาคม 2568 ว่า ลอว์เรนซ์ เฟลด์แมน เป็นเพียง “นักแสดง” ที่ถูกจ้างมารับบทเป็น เบนจามิน เบอร์เจอร์ เท่านั้น (และอันที่จริงก็มี “นักแสดง” ชาวอังกฤษในเรื่องนี้อีกคน ซึ่งให้สัมภาษณ์กับไรท์ว่า เขาได้ค่าจ้าง 500 ดอลลาร์สหรัฐ อ่านสคริปท์ต่อหน้ากล้องในจีน โดยไม่รู้เลยว่าคลิปนั้นต่อมาจะถูกตัดต่อให้เขากลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Tian Tian Ventures ให้สัมภาษณ์กับ CNBC)

ทั้งที่มีข้อมูลปรากฏชัดแล้วว่า ลอว์เรนซ์ เฟลด์แมน เป็นเพียง “นักแสดง” ในเรื่องนี้ ตำรวจกองบังคับการปราบปรามกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กลับยังดูไม่แยแสที่จะ “ขยายผล” สอบสวนเรื่องนี้ต่อว่า “ใคร” คือผู้ว่าจ้างนาย ลอว์เรนซ์ เฟลด์แมน ให้มารับบทเป็น เบนจามิน เบอร์เจอร์

เรื่องที่น่าผิดหวัง(อย่างต่อเนื่อง)ก็คือ ไม่มีสื่อมวลชนไทยเจ้าไหนทำข่าวประเด็นนี้

ซ้ำร้าย สื่อมวลชนบางสำนัก อาทิ กรุงเทพธุรกิจ กลับลงข่าวในทางที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสียงเรียกร้องให้ตำรวจทำหน้าที่ต่อ

ยกตัวอย่างเช่น “ข่าว” (ที่ผู้เขียนอ่านแล้วนึกว่า เขียนโดยพีอาร์หรือทนายของ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์) ชื่อ “‘เบน สมิธ’ ไม่ใช่ CEO เทียนเทียน ตร.ยืนยันชัด – ปปง.ไม่พบฟอกเงิน” ลงกรุงเทพธุรกิจ 31 ตุลาคม 2568 สรุปประเด็นนี้แต่เพียงว่า

“ทั้งนี้มีรายงานว่า นายทอม ไรต์ สื่อมวลชนอิสระ อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าววอลสตรีทเจอร์นัล (WSJ) ที่นายรังสิมันต์ โรม ใช้เป็นข้อมูลอภิปรายเรื่องสแกมเมอร์ ก็ออกมายอมรับในข้อเขียนเอง โดย นายทอม ระบุว่า นายเบนจามิน เบอร์เจอร์ ซึ่งขึ้นไปพูดบนเวทีเพื่อเสนอขายหุ้นบริษัท เทียน เทียน เวนเจอร์ส นั้น แท้จริงแล้วเป็นนักแสดงชื่อว่า นาย Lawrence E. Feldman ครูสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งเคยรับงานแสดงโฆษณาหรือรายการทีวีของจีนเป็นครั้งคราว”

ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ ทอม ไรท์ ไม่ได้ “ยอมรับ” แต่อย่างใดว่า นาย ลอว์เรนซ์ เฟลด์แมน คือคนคนเดียวกันกับ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์

เขาเพียงแต่เปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนของตำรวจว่า ลอว์เรนซ์ เฟลด์แมน คือ “นักแสดง” ที่ได้รับการว่าจ้างให้มาสวมบทเป็น เบนจามิน เบอร์เจอร์

แต่ข้อมูลที่สำคัญนี้กลับไม่ได้รับการขยายผลสืบต่อว่า “ใคร” คือผู้ว่าจ้าง

ไม่ว่าจะโดยสื่อมวลชนไทย หรือตำรวจไทย