ขอเชิญร่วมไว้อาลัยแด่การจากไปของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์

เนื่องด้วยท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยารัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ หนึ่งใน ‘สามัญชนที่หล่นหายในการตัดต่อความทรงจำ’ ได้ถึงแก่ิอนิจกรรมโดยสงบเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายปรีดี พนมยงค์ พอดี ผู้เขียนบล็อกนี้ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงการไว้อาลัยด้วยการบันทึก “ความเงียบ” ในช่องคอมเม้นท์ของบล็อกนี้ (พิมพ์ “…”) เพื่อรำลึกถึง “คนดี” อีกหนึ่งคนที่จบชีวิตลงอย่างสงบ ไม่เรียกร้อง และไม่อวดอ้าง ในยุคที่คนส่วนใหญ่กลายเป็นปัจเจกชนที่มัวแต่ยุ่งกับการทำมาหากิน จนไม่อยาก ‘เสียเวลา’ มาครุ่นคิดถึงเรื่องเชยๆ อย่าง “ความดี” อีกต่อไป.

นอกโลกเสมือนจริงในไซเบอร์สเปซ ท่านสามารถไปลงนามไว้อาลัยได้ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ และทางสถาบันฯ จะจัดพิธีไว้อาลัยท่านผู้หญิงพูนศุขในวันที่ 20 พฤษภาคม (วันอาทิตย์หน้า)

บางตอนจากบทสัมภาษณ์ท่านผู้หญิง โดย วันชัย ตัน บก. นิตยสารสารคดี เมื่อปี 2539 (ขอบคุณป้อที่ส่งลิ้งก์มาให้ ตัวหนาเน้นโดยผู้เขียน):

สารคดี : คนไทยในเวลานั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบอบประชาธิปไตย

ท่านผู้หญิงพูนศุข : เท่าที่เราดูในหนังสือพิมพ์ ก็เห็นมีคนไปเชียร์กันแยะนี่ บริเวณที่นั่งอนันต์ฯ แต่ฉันไม่ได้ออกจากบ้านเลย เป็นห่วงแต่นายปรีดี

สารคดี : คิดว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นเป็นอย่างไร

ท่านผู้หญิงพูนศุข : การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี่มีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ตอนนั้นกรมพระนเรศวรฤทธิ์ พระองค์ปฤษฎางค์ เป็นคณะราชทูตไทยในอังกฤษ และคุณปู่ของฉันคือหลวงวิเศษสาลี เป็นผู้ช่วยทูต พวกนี้มีจดหมายกราบบังคมทูลขอให้ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และให้มีสภาในการปกครองประเทศ แต่ในหลวงท่านก็ไม่เปลี่ยน แต่ท่านก็ไม่กริ้วนะ ก็นับว่าเป็นความกล้าหาญ มีเจ้านายกับข้าราชการรวม ๑๑ คน กราบบังคมทูลเพื่อเห็นแก่ความเจริญของบ้านเมือง ปู่ของฉันก็เป็นคนหนึ่ง

สารคดี : ดูเหมือนหลักการหนึ่งของคณะราษฎรให้ความสำคัญกับผู้หญิงมาก

ท่านผู้หญิงพูนศุข : นายปรีดีเป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่ให้ผู้หญิงมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง และสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรได้ เช่นเดียวกับผู้ชาย ซึ่งมีก่อนกฎหมายเลือกตั้งของประเทศฝรั่งเศส

สารคดี : แล้วช่วงที่อาจารย์ปรีดี ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจสมุดปกเหลือง สถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร เพราะท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์

ท่านผู้หญิงพูนศุข : เรื่องมันยืดยาว แต่สรุปสั้น ๆ ว่า ตั้งใจจะช่วยคนจน มีสหกรณ์ ก็ไม่ได้มีนโยบายจะไปยึดทรัพย์ใคร แต่ถูกคนในรัฐบาลใส่ความว่าเป็นคอมมิวนิสต์ บีบบังคับให้เราต้องเดินทางออกนอกประเทศชั่วคราว

สารคดี : ในบั้นปลายชีวิต จอมพล ป. เคยเขียนจดหมายมาขอโทษอาจารย์ปรีดี

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ไม่ถึงกับเขียนจดหมายหรอก เป็นการ์ด ส.ค.ส. แล้วก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “Please อโหสิกรรม” เราก็เก็บอย่างดี แต่อะไรที่เก็บอย่างดีมักจะหาย ตอนนั้นจอมพล ป. อยู่ที่ญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ก็ส่งคนมาหา ก่อนที่จะถูกจอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหาร มาติดต่อกับเราว่าเรื่องกรณีสวรรคต ทางจอมพล ป. จะรื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่ คิดว่าแกคงเริ่มรู้สึกตัวแล้ว แต่ก็ไปโดนจอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหาร เลยต้องไปอยู่ต่างประเทศ


เนื่องด้วยท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยารัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ หนึ่งใน ‘สามัญชนที่หล่นหายในการตัดต่อความทรงจำ’ ได้ถึงแก่ิอนิจกรรมโดยสงบเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายปรีดี พนมยงค์ พอดี ผู้เขียนบล็อกนี้ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงการไว้อาลัยด้วยการบันทึก “ความเงียบ” ในช่องคอมเม้นท์ของบล็อกนี้ (พิมพ์ “…”) เพื่อรำลึกถึง “คนดี” อีกหนึ่งคนที่จบชีวิตลงอย่างสงบ ไม่เรียกร้อง และไม่อวดอ้าง ในยุคที่คนส่วนใหญ่กลายเป็นปัจเจกชนที่มัวแต่ยุ่งกับการทำมาหากิน จนไม่อยาก ‘เสียเวลา’ มาครุ่นคิดถึงเรื่องเชยๆ อย่าง “ความดี” อีกต่อไป.

นอกโลกเสมือนจริงในไซเบอร์สเปซ ท่านสามารถไปลงนามไว้อาลัยได้ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ และทางสถาบันฯ จะจัดพิธีไว้อาลัยท่านผู้หญิงพูนศุขในวันที่ 20 พฤษภาคม (วันอาทิตย์หน้า)

บางตอนจากบทสัมภาษณ์ท่านผู้หญิง โดย วันชัย ตัน บก. นิตยสารสารคดี เมื่อปี 2539 (ขอบคุณป้อที่ส่งลิ้งก์มาให้ ตัวหนาเน้นโดยผู้เขียน):

สารคดี : คนไทยในเวลานั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบอบประชาธิปไตย

ท่านผู้หญิงพูนศุข : เท่าที่เราดูในหนังสือพิมพ์ ก็เห็นมีคนไปเชียร์กันแยะนี่ บริเวณที่นั่งอนันต์ฯ แต่ฉันไม่ได้ออกจากบ้านเลย เป็นห่วงแต่นายปรีดี

สารคดี : คิดว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นเป็นอย่างไร

ท่านผู้หญิงพูนศุข : การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี่มีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ตอนนั้นกรมพระนเรศวรฤทธิ์ พระองค์ปฤษฎางค์ เป็นคณะราชทูตไทยในอังกฤษ และคุณปู่ของฉันคือหลวงวิเศษสาลี เป็นผู้ช่วยทูต พวกนี้มีจดหมายกราบบังคมทูลขอให้ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และให้มีสภาในการปกครองประเทศ แต่ในหลวงท่านก็ไม่เปลี่ยน แต่ท่านก็ไม่กริ้วนะ ก็นับว่าเป็นความกล้าหาญ มีเจ้านายกับข้าราชการรวม ๑๑ คน กราบบังคมทูลเพื่อเห็นแก่ความเจริญของบ้านเมือง ปู่ของฉันก็เป็นคนหนึ่ง

สารคดี : ดูเหมือนหลักการหนึ่งของคณะราษฎรให้ความสำคัญกับผู้หญิงมาก

ท่านผู้หญิงพูนศุข : นายปรีดีเป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่ให้ผู้หญิงมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง และสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรได้ เช่นเดียวกับผู้ชาย ซึ่งมีก่อนกฎหมายเลือกตั้งของประเทศฝรั่งเศส

สารคดี : แล้วช่วงที่อาจารย์ปรีดี ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจสมุดปกเหลือง สถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร เพราะท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์

ท่านผู้หญิงพูนศุข : เรื่องมันยืดยาว แต่สรุปสั้น ๆ ว่า ตั้งใจจะช่วยคนจน มีสหกรณ์ ก็ไม่ได้มีนโยบายจะไปยึดทรัพย์ใคร แต่ถูกคนในรัฐบาลใส่ความว่าเป็นคอมมิวนิสต์ บีบบังคับให้เราต้องเดินทางออกนอกประเทศชั่วคราว

สารคดี : ในบั้นปลายชีวิต จอมพล ป. เคยเขียนจดหมายมาขอโทษอาจารย์ปรีดี

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ไม่ถึงกับเขียนจดหมายหรอก เป็นการ์ด ส.ค.ส. แล้วก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “Please อโหสิกรรม” เราก็เก็บอย่างดี แต่อะไรที่เก็บอย่างดีมักจะหาย ตอนนั้นจอมพล ป. อยู่ที่ญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ก็ส่งคนมาหา ก่อนที่จะถูกจอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหาร มาติดต่อกับเราว่าเรื่องกรณีสวรรคต ทางจอมพล ป. จะรื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่ คิดว่าแกคงเริ่มรู้สึกตัวแล้ว แต่ก็ไปโดนจอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหาร เลยต้องไปอยู่ต่างประเทศ

สารคดี : อยากจะเรียนถามถึงชีวิตส่วนตัวของอาจารย์ปรีดีครับ ไม่ทราบว่าท่านใช้จ่ายเงินในครอบครัวอย่างไร

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ตั้งแต่แต่งงานมา นายปรีดีมอบเงินเดือนให้ฉันหมดเลย เมื่อต้องการอะไรก็ให้ฉันหาให้ คือก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองมีรายได้จากโรงพิมพ์ นายปรีดีตั้งโรงพิมพ์นิติสาส์น พิมพ์ นิติสาส์นรายเดือน พิมพ์หนังสือชุด ประชุมกฎหมายไทย เพื่อเผยแพร่ มีคนสั่งจองซื้อมาก และรายได้อีกทางจากค่าสอนที่โรงเรียนกฎหมาย เวลานั้นได้ชั่วโมงละ ๑๐ บาท พอเปลี่ยนแปลงการปกครองก็เลิกโรงพิมพ์ ยกให้เป็นโรงพิมพ์ของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ และการเมือง พร้อมทั้งพนักงาน จึงไม่มีรายได้ทางโรงพิมพ์ต่อไปอีก พอเป็นรัฐมนตรีมีรายได้เดือนละ ๑,๕๐๐ บาทก็ให้ฉันอีก บางทีก็ลืมเงินเดือนไว้ที่โต๊ะทำงาน สมัยนั้นเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ต้องเอาไปให้ถึงบ้าน แล้วตอนหลังนายปรีดีก็ไม่รับเงินเดือนเอง ให้เลขาฯ นำเงินมาส่งให้ฉันเลย ตอนรับตำแหน่งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองก็มีเงินประจำตำแหน่ง แต่ไม่เคยเบิกมาใช้ จัดให้เป็นเงินสวัสดิการของมหาวิทยาลัยเพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่ขาดแคลน

สารคดี : ตอนที่เป็นเสรีไทยท่านผู้หญิงทำหน้าที่อะไรครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ช่วงนั้นหน้าสิ่วหน้าขวานมากที่สุดเชียว ทำเนียบท่าช้างเป็นที่บัญชาการของเสรีไทยที่มีนายปรีดีเป็นหัวหน้า พออยู่มาวันหนึ่ง นายพลโตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นก็มาเซ็นชื่อเยี่ยมที่ทำเนียบของนายปรีดี ผู้สำเร็จราชการฯ แล้วก็เดินเข้ามาที่ศาลาริมน้ำ ซึ่งเป็นส่วนที่พวกเสรีไทยใช้เป็นที่ทำงาน โตโจคงอยากเห็นส่วนที่เราอยู่หมด น่ากลัวเหมือนกัน แต่โชคดีที่พวกญี่ปุ่นคงไม่ระแคะระคาย ส่วนฉันตอนนั้นก็ช่วยทำทุกอย่าง ช่วยนายปรีดีฟังข่าวติดตามสถานการณ์ต่างประเทศจากวิทยุ อันที่จริงตอนนั้นทางการห้ามฟังวิทยุสัมพันธมิตร ต้องมีใบอนุญาตถึงฟังได้

สารคดี : ท่านผู้หญิงต้องช่วยถอดรหัสหรือเขียนโค้ดด้วยใช่ไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ไม่ได้ถอดรหัส แต่ใช้วิธีเขียนเป็นตัวหนังสือ คือฉันเขียนตัวบรรจง จึงช่วยเขียนรหัสด้วยลายมือ เป็นภาษาอังกฤษแบบตัวพิมพ์ใหญ่ก่อน ที่จะนำไปเข้าเป็นโค้ดลับเพื่อเป็นการพรางหลักฐาน เพราะหากถูกจับได้ก็ไม่รู้ว่าเป็นลายมือใคร และตอนนั้นใช้พิมพ์ดีดไม่ได้ หากพวกญี่ปุ่นเขาจับได้ สมัยนั้นมันตรวจกันรู้นี่ว่าเป็นพิมพ์ดีดจากไหน บางครั้งก็เขียนคำสั่งของนายปรีดีที่จะส่งไปต่างประเทศ ส่วนฝ่ายถอดรหัสนั่นมีพวกเสรีไทยสายอังกฤษหรือสายอเมริกาเป็นคนจัดการ

สารคดี : หลังจากอาจารย์ปรีดีลี้ภัยไปอยู่เมืองจีน บรรดาปัญญาชนจำนวนมาก ในเมืองไทยร่วมกันจัดตั้ง คณะกรรมการสันติภาพสากล แห่งประเทศไทย เพื่อต่อต้านการใช้ระเบิดปรมาณู แต่ก็ถูกรัฐบาลทหารกวาดล้าง เพราะกลัวฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ คุณปาล ลูกชายคนโต ก็ถูกรัฐบาลทหารจับไปเมื่อปี ๒๔๙๕ ใช่ไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ตอนนั้นลูกปาลถูกเกณฑ์ทหารและอยู่ระหว่างลาป่วย ตำรวจก็มาจับตัวถึงในบ้าน ฉันพยายามทำใจเข้มแข็งเมื่ออยู่ต่อหน้า พอพวกนั้นกลับไปฉันวิ่งขึ้นไปร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ ลูกปาลถูกข้อหากบฏสันติภาพ ถูกตัดสินจำคุก ๒๐ ปี แล้วลดลงมาเหลือ ๑๓ ปี กับ ๔ เดือน แต่ขังอยู่ ๔ ปี พอปี ๒๕๐๐ ก็มีกฎหมายนิรโทษกรรมออกมา

สารคดี : ท่านผู้หญิงก็ติดคุกด้วยใช่ไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : หลังจากตำรวจเอาลูกฉันไป สองวันต่อมา ฉันเป็นเถ้าแก่หมั้นคุณศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ (เสนีย์ เสาวพงศ์) ตำรวจก็มาจับในงานไปสอบสวนที่สันติบาล ตอนนั้นลูกสาวสองคนยังเล็กอยู่ เลยต้องเอามานอนที่สันติบาลด้วยสองคืน ตำรวจที่สอบสวนฉันคือพระพินิจชนคดี พี่เขยของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ถามว่า รู้จักพลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ ผู้บัญชาการนาวิกโยธิน ที่ตอนนั้นทางการกำลังล่าตัวอยู่ไหม คือภายหลังการทำรัฐประหารจนทำให้นายปรีดีต้องออกนอกประเทศไปนั้น สถานการณ์ตอนนั้นก็ไม่น่าวางใจ ยังมีการติดตามจับกุมผู้เกี่ยวข้อง หากจับสามีไม่ได้ก็มาจับภรรยาไปแทน ฉันจึงไปอาศัยบ้านพักคุณทหารอยู่ที่สัตหีบชั่วคราว คุณทหารต้อนรับฉันกับลูก ๆ อย่างดี เราอยู่ที่สัตหีบเกือบสามเดือน คุณทหารเป็นผู้ก่อการ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ มีบุญคุณกับครอบครัวเรามาก ตอนหลังคณะรัฐประหารจะจับคุณทหาร แต่จับไม่ได้ คุณทหารหลบไปที่เมืองปราณฯ หรืออยู่ที่ไหนสักแห่งไม่แน่ชัด

ที่นี้มีคนมาติดต่อ บอกว่าคุณทหารเข้าป่า ฉันก็ฝากข้าวของไปให้ เขียนโน้ตใส่เศษกระดาษฝากคนไป บอกว่าถ้ามีหนทางอะไรก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ พอคุณทหารถูกจับได้ ก็พบเศษกระดาษที่มีลายมือของฉัน ดังนั้นเมื่อตำรวจถาม ฉันก็ไม่ปฏิเสธ เขาถามว่านี่ใช่มั้ยลายมือฉันไหม ฉันก็รับว่าใช่ ฉันเขียนจริง ๆ ข้อหาฉันมีข้อนี้เท่านั้นเท่าที่ดูในสำนวนฟ้อง นอกนั้นถามว่านายปรีดีอยู่ที่ไหน ฉันไม่ทราบทั้งนั้น ตอบไม่ได้ ฉันไม่ได้คิดกบฏกับใคร ลูกก็ไม่เกี่ยว ไม่พัวพันกันเลย แต่เขาก็จับฉันไปทำลายจิตใจ ทำลายทุกอย่างหมด อิสรภาพเรื่องเล็ก จิตใจนี่เรื่องใหญ่ ถูกขังติดลูกกรงเหล็กอยู่ ถ้าเผื่อไฟไหม้เราก็ตายในนั้น และฉันเป็นคนที่กินกาแฟยาก พอคนในบ้านเอากาแฟที่บ้านชงใส่กระติกมาให้ ก็ยังเอาเข้าไม่ได้

ติดคุกได้ ๑๒ วัน ตำรวจก็พาไปศาล ผู้ต้องหาหญิงคนเดียว ไม่รู้ใช้กำลังเท่าไหร่ ไปศาลแล้วพวกหนังสือพิมพ์ก็จะมาถ่ายรูป ตำรวจพยายามจะเอาฉันหลบกล้อง พอถึงศาลแล้วก็เห็นพวกผู้ต้องหาคนอื่น ๆ นั่งเป็นแถว แต่ของฉันไปนั่งเฉพาะ มีตำรวจคุม แหม ทุเรศจริง ๆ เชียว ทำกับฉันขนาดนี้

สารคดี : กลัวไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ตอนนั้นไม่กลัวเลยนะ หลังจากติดคุกได้ ๘๔ วัน อัยการยกฟ้องฉัน ตอนนั้นมีตำรวจคนหนึ่งเป็นสารวัตร ขณะนี้ท่านเสียชีวิตไปแล้ว แหม ดีกับฉันเหลือเกิน เวลานั้นท่านเป็นนายพันตำรวจตรี ก็คุมฉันบ้างบางเวลา ท่านก็อุตส่าห์วิ่งไปหาเพื่อนที่เป็นอัยการ ไปสืบดูว่าฉันจะถูกฟ้องหรือเปล่า อุตส่าห์ไปเหน็ดเหนื่อยกันดึกดื่น ผลสุดท้ายฉันไม่ถูกฟ้อง แต่ลูกปาลถูกฟ้อง พอศาลตัดสินแล้วจะเอาลูกขึ้นรถไปเรือนจำลหุโทษ ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูก ฉันก็ขึ้นรถไปด้วย นายตำรวจคนหนึ่งก็พูดขู่ว่า นี่จะเอาไปคุกแล้วนะวันนี้ ฉันก็บอกว่าคุณไม่รู้ประวัติของฉันดี คุณนึกว่าฉันกลัวคุกเหรอ คุณปู่ของฉัน คือหลวงวิเศษสาลีเป็นแม่กองสร้างคุกแห่งนี้ และคุณพ่อของฉัน พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา เป็นอธิบดีราชทัณฑ์คนแรกและคนสุดท้าย สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วฉันจะกลัวคุกได้อย่างไร

สารคดี : มีคนไปเยี่ยมอาจารย์ปรีดีตลอดเวลาใช่ไหมครับ

ท่านผู้หญิงพูนศุข : มี คือการเยี่ยมมีหลายอย่าง ไปเยี่ยมด้วยน้ำใสใจจริง ระลึกถึงคุณงามความดีเก่า ๆ ไปดูก็มี อยากรู้ว่าอยู่กันอย่างไร บางคนที่สนิทกันแต่ไม่กล้าไป กลัวมีคนไปแจ้งกับรัฐบาล ขนาดฉันจะขายที่ดิน คนจะซื้อพอรู้ว่าเป็นชื่อของนายปรีดี ก็กลัวแล้ว ที่ดินของนายปรีดีที่ทุ่งมหาเมฆ ซื้อไว้ถูก ๆ ไร่ละ ๓.๕๐ บาท ตั้งแต่เป็นทุ่งนา คนซื้อบอกว่าต้องไปถามรัฐบาลก่อน แล้วรัฐบาลมาเกี่ยวอะไรด้วย จะขายของตัวเองยังยาก ต้องไปถามรัฐบาล

สารคดี : แต่ก็จำเป็นต้องขายเพื่อหารายได้

ท่านผู้หญิงพูนศุข : ก็ให้พรรคพวกช่วยกันซื้อ เพื่อว่าให้เราได้มีกินมีใช้ ถ้าฉันไม่ขายจะเอาเงินที่ไหน บำนาญก็ไม่ได้ บ้านที่สีลมและสาทรก็ต้องขาย เพราะเราไม่ได้ค้าขาย ฉันเห็นเดี๋ยวนี้นะ ทำไมนักการเมืองรวยจัง ฉันไม่เข้าใจ เอาเวลาราชการไปค้าขายเหรอ เราใช้เวลาทั้งหมดให้แก่ราชการ ไม่ได้เอาเวลาของราชการมาทำมาหากิน ซึ่งถ้านายปรีดีจะทำมาหากิน ก็มีหัวนะ ได้รับใบประกาศนียบัตรชั้นสูงทางเศรษฐกิจ มีความสามารถหลายอย่างที่ทำอะไรต่ออะไร แต่ท่านไม่ได้ทำเพื่อตนเอง ทำให้ประเทศชาติ.