เมื่อวานคิดอยู่่ว่าจะเขียนบทความยาวๆ เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับวันครบรอบ 10 ปีวิกฤตเศรษฐกิจดีหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจว่าอย่าดีกว่า มีคนเขียนไปเยอะแล้ว ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ ในบล็อก ฯลฯ และ ‘บทเรียน’ ที่เราได้รับจากวิกฤตในครั้งนั้นก็เป็นที่รับรู้กันทั่วไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้เขียนยังไม่แน่ใจคือ เราได้ ‘ใช้’ บทเรียนนั้นเต็มที่หรือไม่ หรือฟังบทเรียนนี้แบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเท่านั้น เพราะเมื่อดูพฤติกรรมของกลุ่มคนต่อไปนี้ –
…ธนาคารที่บางครั้งยังปล่อยสินเชื่อแบบตามใบสั่งหรือตามเส้นสายอยู่
…นักธุรกิจหลายคนที่ยัง ‘หวังรวย’ จากการเก็งกำไรที่ดินหรือหุ้น มากกว่าลงทุนพัฒนาศักยภาพของลูกจ้างและกระบวนการผลิต
…ลูกหนี้หลายคนที่ยังตั้งใจเบี้ยวหนี้ธนาคาร ทั้งๆ ที่จ่ายได้ (คนในวงการธนาคารเรียกลูกหนี้ที่จงใจเป็นหนี้เสียแบบนี้ว่า ‘strategic NPL’)
…คนทั่วไปหลายคนที่ยังใช้เงินเกินตัว คิดแต่ความสุขจากการบริโภคระยะสั้นมากกว่าคุณภาพชีวิตจากการออมระยะยาว (ถึงแม้จะต้องยอมรับว่ากฎหมายไทยยังไม่รัดกุมพอ ปล่อยให้บริษัทสินเชื่อส่วนบุคคล ‘หลอก’ คนได้ง่ายๆ (แค่ไม่แสดงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงหรือ effective interest rate ก็สมควรผิดกฎหมายแล้ว) และใช้วิธีการทวงหนี้แบบน่ารังเกียจไม่น้อย)
…ทั้งหมดนี้ในบริบทของตลาดเงินตลาดทุนยุคโลกาภิวัตน์ที่เชื่อมกันหมดแล้วทั่วโลก ทำให้นักลงทุนต่างชาติ ‘ถอนเงินร้อน’ ออกได้ในชั่วพริบตาเท่านั้น
ผู้เขียนก็แน่ใจไม่ได้ว่าวิกฤตปี 1997 จะไม่หวนคืนมาอีกจริงหรือ
นึกย้อนไปคร่าวๆ …เมื่อสิบปีที่แล้ว วันที่ 2 กรกฎาคม 1997 ผู้เขียนเพิ่งทำงานหลังจบปริญญาตรีได้ไม่ถึงปี เจ้านายที่ธนาคารโทรฯ มาบอกว่าใ้ห้เข้างานเร็วหน่อย เมื่อแปดโมงเช้าที่ผ่านมา ท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่เพิ่งถูกเรียกเข้าไปพบแบ๊งค์ชาติ เมื่อไปถึงที่ทำงาน สิ่งแรกที่นายบอกคือ ไหนคุณลองเปิดโมเดลการเงินของบริษัท X (ลูกค้ารายหนึ่งของผู้เขียน) แล้วเปลี่ยนสมมุติฐานอัตราแลกเปลี่ยนจาก 25 บาท/USD เป็น 40 ให้ดูหน่อยสิ
ผู้เขียนงงไปชั่วขณะ เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหนึ่งในสมมุติฐานตายตัว (given constraint) ที่เราไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยจำลอง sensitivity ใดๆ …แน่นอน เมื่อเปลี่ยนอัตราแลกเปลี่ยน บริษัท X ก็สูญสิ้นความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยทันที (เพราะรับรายได้ 100% เป็นบาท แต่จ่ายเงินกู้กว่า 50% เป็นดอลลาร์) โมเดลพ่นตัวเลขสีแดงเถือกเป็นแถวๆ ออกมาให้ดู
ผู้เขียนคิดว่า สิ่งที่อยู่ในโมเดลนั้นสะท้อนปัญหาของความคิดแบบ ‘จับเสือมือเปล่า’ (กู้ดอลลาร์เพราะดอกเบี้ยถูกกว่าบาท ทั้งๆ ที่ไม่มีรายได้เป็นดอลลาร์ เพราะเชื่อว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่ 25 บาท/USD ไปตลอดกาล) ที่เป็นรากของวิกฤตเศรษฐกิจได้ดี
เมื่อวานคิดอยู่่ว่าจะเขียนบทความยาวๆ เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับวันครบรอบ 10 ปีวิกฤตเศรษฐกิจดีหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจว่าอย่าดีกว่า มีคนเขียนไปเยอะแล้ว ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ ในบล็อก ฯลฯ และ ‘บทเรียน’ ที่เราได้รับจากวิกฤตในครั้งนั้นก็เป็นที่รับรู้กันทั่วไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้เขียนยังไม่แน่ใจคือ เราได้ ‘ใช้’ บทเรียนนั้นเต็มที่หรือไม่ หรือฟังบทเรียนนี้แบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเท่านั้น เพราะเมื่อดูพฤติกรรมของกลุ่มคนต่อไปนี้ –
…ธนาคารที่บางครั้งยังปล่อยสินเชื่อแบบตามใบสั่งหรือตามเส้นสายอยู่
…นักธุรกิจหลายคนที่ยัง ‘หวังรวย’ จากการเก็งกำไรที่ดินหรือหุ้น มากกว่าลงทุนพัฒนาศักยภาพของลูกจ้างและกระบวนการผลิต
…ลูกหนี้หลายคนที่ยังตั้งใจเบี้ยวหนี้ธนาคาร ทั้งๆ ที่จ่ายได้ (คนในวงการธนาคารเรียกลูกหนี้ที่จงใจเป็นหนี้เสียแบบนี้ว่า ‘strategic NPL’)
…คนทั่วไปหลายคนที่ยังใช้เงินเกินตัว คิดแต่ความสุขจากการบริโภคระยะสั้นมากกว่าคุณภาพชีวิตจากการออมระยะยาว (ถึงแม้จะต้องยอมรับว่ากฎหมายไทยยังไม่รัดกุมพอ ปล่อยให้บริษัทสินเชื่อส่วนบุคคล ‘หลอก’ คนได้ง่ายๆ (แค่ไม่แสดงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงหรือ effective interest rate ก็สมควรผิดกฎหมายแล้ว) และใช้วิธีการทวงหนี้แบบน่ารังเกียจไม่น้อย)
…ทั้งหมดนี้ในบริบทของตลาดเงินตลาดทุนยุคโลกาภิวัตน์ที่เชื่อมกันหมดแล้วทั่วโลก ทำให้นักลงทุนต่างชาติ ‘ถอนเงินร้อน’ ออกได้ในชั่วพริบตาเท่านั้น
ผู้เขียนก็แน่ใจไม่ได้ว่าวิกฤตปี 1997 จะไม่หวนคืนมาอีกจริงหรือ
นึกย้อนไปคร่าวๆ …เมื่อสิบปีที่แล้ว วันที่ 2 กรกฎาคม 1997 ผู้เขียนเพิ่งทำงานหลังจบปริญญาตรีได้ไม่ถึงปี เจ้านายที่ธนาคารโทรฯ มาบอกว่าใ้ห้เข้างานเร็วหน่อย เมื่อแปดโมงเช้าที่ผ่านมา ท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่เพิ่งถูกเรียกเข้าไปพบแบ๊งค์ชาติ เมื่อไปถึงที่ทำงาน สิ่งแรกที่นายบอกคือ ไหนคุณลองเปิดโมเดลการเงินของบริษัท X (ลูกค้ารายหนึ่งของผู้เขียน) แล้วเปลี่ยนสมมุติฐานอัตราแลกเปลี่ยนจาก 25 บาท/USD เป็น 40 ให้ดูหน่อยสิ
ผู้เขียนงงไปชั่วขณะ เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหนึ่งในสมมุติฐานตายตัว (given constraint) ที่เราไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยจำลอง sensitivity ใดๆ …แน่นอน เมื่อเปลี่ยนอัตราแลกเปลี่ยน บริษัท X ก็สูญสิ้นความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยทันที (เพราะรับรายได้ 100% เป็นบาท แต่จ่ายเงินกู้กว่า 50% เป็นดอลลาร์) โมเดลพ่นตัวเลขสีแดงเถือกเป็นแถวๆ ออกมาให้ดู
ผู้เขียนคิดว่า สิ่งที่อยู่ในโมเดลนั้นสะท้อนปัญหาของความคิดแบบ ‘จับเสือมือเปล่า’ (กู้ดอลลาร์เพราะดอกเบี้ยถูกกว่าบาท ทั้งๆ ที่ไม่มีรายได้เป็นดอลลาร์ เพราะเชื่อว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่ 25 บาท/USD ไปตลอดกาล) ที่เป็นรากของวิกฤตเศรษฐกิจได้ดี
การประกาศลดค่าเงินบาทในวันนั้น ทำให้การทำงานของผู้เขียนในปีที่สองของชีวิตแตกต่างจากปีแรก (1996) นับจากเริ่มทำงานอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ จากการเฮฮาปาร์ตี้ รับเลี้ยงและอาสาเลี้ยงลูกค้าในร้านอาหารหรูๆ ทุกเดือน กลายเป็นการนั่งเครียดในห้องประชุมถึงตีสองตีสามทุกวัน เพื่อเจรจาแ้ก้ไขสัญญาเงินกู้ทั้งหมดของลูกค้าทุกราย ปวดหัวกับการหาเงินมาอุดวงเงินกู้ที่ ‘โหว่’ ไปเยอะจากการปิดไฟแนนซ์ 56 แห่งของ ปรส. และธนาคารขนาดเล็กหลายแห่งที่มีปัญหา เห็นใจลูกค้านับไม่ถ้วนที่ต้องปิดโรงงาน ไล่คนออก ขอให้ลูกจ้างมาทำงานวันเว้นวัน และคิดหาสารพัดวิธี ‘รัดเข็มขัดตัวโก่ง’ อีกมากมาย
วันที่ 2 กรกฏาคม 1997 จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตการทำงานที่แท้จริงของผู้เขียน
……
แทนที่จะเขียนเรื่องเครียดๆ ยาวๆ ในวันนี้ ก็ขอแบ่งปันเพลงใหม่ของ ‘เฉลียง’ วงที่ฉลาดและ ‘น่ารัก’ ที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีป๊อปไทย ให้ผู้อ่านทุกท่านฟังกันดีกว่า เพลงนี้แต่งโดยพี่จิก (โฮ่ เรียกเหมือนเป็นแฟนพันธุ์แ้ท้เลยเรา) ประภาส ชลศรานนท์ ไม่นานมานี้ เฉลียงเอามาร้องบนเวทีคอนเสิร์ตเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตที่สนุกมาก ถึงแม้ว่าบางช่วงจะรู้สึกเหมือนไปดูทอล์กโชว์หรือ kid’s talent show มากกว่าไปดูคอนเสิร์ตเฉลียงก็ตาม 😛
เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ
ดาวนับล้านที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
จะมีไหมหนาที่ลอยอยู่เองเฉยๆ
ไม่ยอมโคจรหมุนไปไหนเลย
ไม่เคย ไม่เห็นเลยสักดวง
ดาวของฉันเธอว่าห่างไกลลิบๆ
แต่ดาวไหนๆ มันก็อยู่ไกลกันทั้งนั้น
ดาวของเธอฉันว่าก็เหมือนกัน
กี่ปีแสงนั้นอย่านับเลย
*เมื่อดาวโคจรมาเจอะกัน
ฤดูก็เปลี่ยนผัน การหมุนก็ผันแปร
เมื่อเธอกับฉันมาเจอะกันชีวิตก็เปลี่ยนผัน
เปลี่ยนไปจากเดิม เปลี่ยนจังหวะหมุนของหัวใจ (ให้ใกล้กัน)
**(เกิดอาการ)เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ
แต่สองดาวก็ยังหมุนรอบตัวเอง
เธอดึงดูดฉัน ฉันดึงดูดเธอ
และสองดาวยังเปล่งแสงอันงดงามให้แก่กัน(ไปทั่วฟ้า)
ดาวนับแสนที่มีวงแหวนนับร้อย
ทั้งดาวเคราะห์น้อย ดาวฤกษ์ลอยคว้างๆ
ดาวทุกดวงนั้นย่อมจะแตกต่าง
มีเส้นทางหมุนของตัวเอง (*) (**)
ไหนๆ ก็พูดถึงเฉลียงแล้ว ขอโพสฝีมือการแต่งเพลงของพี่จิกอีกเพลงก็แล้วกัน นี่ืคือเพลง ‘เพราะอะไร’ เวอร์ชั่นที่รู้จักดีน่าจะเป็นเวอร์ชั่นที่ป้าง นครินทร์ กิ่งศักดิ์ นำไปร้อง แต่เวอร์ชั่นที่จะแปะนี้ร้องโดย ‘ลูกหิน’ 🙂
เพราะอะไร
เธอเคยถามกับฉัน ที่ฉันรักเธอ ว่าอยากจะรู้รักเพราะอะไร
กลับไปคิดไปค้น ใคร่ครวญมากมาย ไม่เจอ…คำตอบ
ที่ผ่านมานั้นไม่คิดอยากรู้ที่มา และไม่เคยหาเหตุผลใดๆ
แค่ตัวฉันเพียงรู้ ว่าเป็นสุขใจเมื่ออยู่เคียงกัน
* อาจจะฟังแล้วไร้เหตุผล ว่าสิ่งที่ทำให้คนรักกัน
หรือเป็นเพียงรอยยิ้ม รอยนั้นเมื่อวันแรกเจอ
หากจะหาเหตุผลสักคำ ว่าสิ่งที่ทำให้ฉันรักเธอ
นั่นเป็นเพราะตัวฉันมาเจอ เจอสิ่งดีงาม
(ซ้ำ *)
ตั้งแต่วันฉันพบเธอ ก็เจอแต่สิ่งดีงาม
ตั้งแต่วันฉันพบเธอ ได้เจอแต่สิ่งดีงาม
เมื่อแปะเพลงเฉลียงแล้วก็หยุดไม่ได้ 😛 ขอแถมเพลงโปรดของผู้เขียนอีกสองเพลง 🙂
นิทานหิ่งห้อย
เด็กน้อยได้ยินเรื่องราว กล่าวขานมานาน ว่าหากใครได้จับหิ่งห้อย
มาเก็บเอาไว้ใต้หมอน นอนคืนนั้นจะฝันดี จะฝันเห็นดวงดาวมากมาย
ฝันเห็นเจ้าชายเจ้าหญิง ฝันแสนสวยงาม
เด็กน้อยนั่งตักคุณยายไต่ถามความจริง ยายยิ้มกินหมากหนึ่งคำ
ไม่ตอบอะไรส่ายหัว ใจเด็กน้อยอยากเห็นจริง อยากเห็นดวงดาวมากมาย
อยากเห็นเจ้าชายเจ้าหญิง อยากฝันสวยงาม
หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน ส่องแสงระยิบระยับกัน สว่างไสวไปทั้งต้นลำพู
เด็กน้อยแอบออกมา ไล่คว้าแสงน้อยมาดู ใส่ไว้ในกล่องงามหรู
ซ่อนไว้ใต้หมอน แล้วนอนคอยฝันดี
ตื่นเช้าพอได้ลืมตา มองเห็นคุณยาย มาแกล้งถามว่าเจอะอะไร
สนุกแค่ไหนที่ฝัน ใจเด็กน้อยจึงทบทวน ไม่ฝันเห็นอะไรมากมาย
รีบค้นเร็วไวใต้หมอนเปิดฝานั้นดู
หิ่งห้อยในกล่องตอนนี้เหมือนหนอนตัวหนึ่ง ไม่สวยดังซึ่งตอนอยู่
ใต้ต้นลำพูส่องแสง ยายยิ้มแล้วสอนตาม จะมองเห็นความจริง
อย่าขังความจริงที่เห็น อย่างขังความงาม
หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน ส่องแสงระยิบระยับกัน สว่างไสวไปทั้งต้นลำพู
เด็กน้อยถือกล่องออกมา เปิดฝาแล้วแง้มมองดู
หนอนน้อยในกล่องงามหรูก็เปล่งแสงสุกใสบินไปรวมกัน
เด็กน้อยนอนหลับสบายอมยิ้มละไม ใต้หมอนไม่มีกล่องอะไร
ไม่มีสิ่งใดถูกขัง นอนคืนนั้นจึงฝันดี ได้ฝันเห็นดวงดาวมากมาย
ฝันเห็นเจ้าชาย เจ้าหญิง ฝันแสนสวยงาม (ลัลล้า ลัลล้า …)
อื่นๆ อีกมากมาย
หากถามเธอตรงๆ ว่าเธอรักเหตุใด ใึครตอบได้ไหม เหตุใดรักยั่งยืน
เหตุใดที่รักร้าว กลับหวานเป็นขมขื่น ตอบกันทั้งวันคืน อื่นๆ อีกมากมาย
เด็กหนีไม่ยอมเรียน โดดเรียนเพราะเหตุใด ลองตอบกันไหม เด็กไปเพราะใจเบ่ง
แม่ให้ไปขายของ ครูสอนไม่ดีเอง เด็กรัักเป็นนักเลง อื่นๆ อีกมากมาย
(*) อื่นๆ อีกมากมาย อีกมากมาย มากมายที่ไม่รู้
อาจจะจริง เราเห็นอยู่ เื่ผื่อใจไ้ว้ ที่ยังไม่เห็น
ต้นไม้จะงามดี ให้มีผลดอกใบ พรวนแต่งดินไว้ ใ่ส่ใจทุกเช้าค่ำ
เพิ่มดินผสมปุ๋ย ให้น้ำที่ชุ่มฉ่ำ เด็ดทิ้งที่ใบดำ อื่นๆ อีกมากมาย
หากเขาเป็นคนเลว ที่เลวนั้นจากใด คำตอบมีไว้ ตอบไปก็คงอื่น
อาจเลวเพราะแสนเข็ญ หยาบช้าเพราะขมขื่น เหตุนำนั้นพันหมื่น อื่นๆ อีกมากมาย (* x2)
ฟังเพลงอื่นๆ ของเฉลียงได้ที่ tag เฉลียง ใน iMeem และสั่งซื้อ DVD box set ได้ที่ เว็บ three-gether