เพิ่งอ่านหนังสือเรื่อง ตลาด: ลัทธิใหม่ของศาสนา จบไป ใจหนึ่งข้าพเจ้าก็รู้สึกเห็นด้วยกับความเห็นของผู้แต่ง (เดวิด ลอย) และผู้เข้าร่วมสัมมนาคนอื่นๆ ถึง “อันตราย” ของระบอบทุนนิยมเสรี ซึ่งนับวันมีแต่จะขยายอำนาจเข้าครอบงำจิตใจคน ให้สนใจแต่ “ความเจริญด้านวัตถุ” ซึ่งทำให้คนเหินห่างจากศาสนามากขึ้นเรื่อยๆ ข้าพเจ้าเห็นด้วยอย่างยิ่งกับประเด็นหนึ่งในหนังสือว่า การเถลิงอำนาจของบริโภคนิยมนี้ต้องโทษผู้เผยแพร่ศาสนาด้วยเหมือนกัน (เช่น พระสงฆ์ หรือบาทหลวงในศาสนาอื่น) ที่ส่วนใหญ่ยังติดอยู่ในกรอบการเผยแพร่่ศาสนาแบบ “อนุรักษ์นิยม” จนไม่สามารถ “เข้าหา” คนรุ่นใหม่ได้ เพราะยังใช้ภาษา พิธีกรรม ฯลฯ แบบโบราณที่คนรุ่นใหม่เห็นเป็นเรื่องน่าเบื่อ และไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเขา (ท่าน ว. วชิรเมธี พระรุ่นใหม่ที่ข้าพเจ้านับถือ อธิบายเหตุผลที่วัยรุ่นไทยสมัยนี้ไม่ชอบไปวัด ไว้น่าสนใจมากในหนังสือ ธรรมะทำไม ใครยังไม่เคยอ่านขอแนะนำนะคะ)
แต่อีกใจหนึ่ง –ซึ่งคงเป็นเสี้ยวใจของคนที่จบเศรษฐศาสตร์มา แม้จะนานหลายปีมาแล้ว— ข้าพเจ้าก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ ว่าหนังสือเล่มนี้ยังสะท้อนความเข้าใจผิดของหลายๆ คน เกี่ยวกับ “วิธีทำงาน” ของนักเศรษฐศาสตร์ และ “กระบวนการทำงาน” ของระบบเศรษฐกิจทางตลาด (market economy – ต่อไปข้าพเจ้าจะเรียกย่อๆ ตามหนังสือว่า “ตลาด”) ในสาระสำคัญบางประการ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะคงไม่มีใครสามารถแก้ไขปรับปรุงระบบตลาดได้ หากคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร ในความเห็นของข้าพเจ้า ความเข้าใจผิดที่สะท้อนในหนังสือเล่มนี้มีอยู่สองประการหลักดังนี้:
1) “ตลาดแสร้งประพฤติตัวว่าเป็นวิทยาศาสตร์”
ข้อกล่าวหาที่ว่าตลาด หรือเศรษฐศาสตร์โดยรวม “เสแสร้ง” เป็นวิทยาศาสตร์นั้น มีมาทุกยุคทุกสมัย จริงๆ แล้วเศรษฐศาสตร์นั้นไม่ได้แกล้งเป็นวิทยาศาสตร์ และก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์จอมปลอม (ในแง่ใช้กระบวนการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่หลอกผู้คนว่าเป็น) ด้วย แต่ทว่าเศรษฐศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งแน่นอน ในแง่ที่มีจุดประสงค์ วิธีการ และกระบวนการที่ไม่ต่างจากวิทยาศาสตร์อื่นๆ เช่น ชีววิทยา หรือฟิสิกส์ เพียงแต่เศรษฐศาสตร์และ “วิทยาศาสตร์สังคม” (social sciences) แขนงอื่นๆ ที่ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์เป็นหลัก เช่น ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา และการเมืองการปกครอง ไม่มีทางค้นพบ “กฎธรรมชาติ” ที่แน่นอนและสรุปได้เป็นสมการทางคณิตศาสตร์ เหมือนวิทยาศาสตร์อื่นๆ ที่ศึกษาโลกธรรมชาติเป็นหลัก เพราะมนุษย์หกพันล้านคนบนโลกนั้น มีลักษณะ อารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมที่เป็นตัวของตัวเองสูง ตลอดจนมีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ซับซ้อนและไม่สามารถคาดเดาได้ นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์และวิทยาศาสตร์สังคมแขนงอื่นๆ ต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ เช่น เราแทบไม่มีทางทดลองทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาคในห้องทดลองได้เลย เพราะระบบเศรษฐกิจตลาดประกอบด้วยตัวแปรเป็นร้อยเป็นพัน ที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างซับซ้อน และไม่มีใครคาดเดาหรือควบคุมได้อย่างแม่นยำ
จำได้ว่า ตอนที่ข้าพเจ้าเรียนเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นสมัยอยู่มหาวิทยาลัย อาจารย์อธิบายว่าทำไมหลายๆ คนจึงดูถูกนักเศรษฐศาสตร์ว่า พูดให้ขาวเป็นดำหรือดำเป็นขาวก็ได้แบบไม่มีใคร “รู้จริง” โดยชี้ให้เห็นดังนี้:
เพิ่งอ่านหนังสือเรื่อง ตลาด: ลัทธิใหม่ของศาสนา จบไป ใจหนึ่งข้าพเจ้าก็รู้สึกเห็นด้วยกับความเห็นของผู้แต่ง (เดวิด ลอย) และผู้เข้าร่วมสัมมนาคนอื่นๆ ถึง “อันตราย” ของระบอบทุนนิยมเสรี ซึ่งนับวันมีแต่จะขยายอำนาจเข้าครอบงำจิตใจคน ให้สนใจแต่ “ความเจริญด้านวัตถุ” ซึ่งทำให้คนเหินห่างจากศาสนามากขึ้นเรื่อยๆ ข้าพเจ้าเห็นด้วยอย่างยิ่งกับประเด็นหนึ่งในหนังสือว่า การเถลิงอำนาจของบริโภคนิยมนี้ต้องโทษผู้เผยแพร่ศาสนาด้วยเหมือนกัน (เช่น พระสงฆ์ หรือบาทหลวงในศาสนาอื่น) ที่ส่วนใหญ่ยังติดอยู่ในกรอบการเผยแพร่่ศาสนาแบบ “อนุรักษ์นิยม” จนไม่สามารถ “เข้าหา” คนรุ่นใหม่ได้ เพราะยังใช้ภาษา พิธีกรรม ฯลฯ แบบโบราณที่คนรุ่นใหม่เห็นเป็นเรื่องน่าเบื่อ และไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเขา (ท่าน ว. วชิรเมธี พระรุ่นใหม่ที่ข้าพเจ้านับถือ อธิบายเหตุผลที่วัยรุ่นไทยสมัยนี้ไม่ชอบไปวัด ไว้น่าสนใจมากในหนังสือ ธรรมะทำไม ใครยังไม่เคยอ่านขอแนะนำนะคะ)
แต่อีกใจหนึ่ง –ซึ่งคงเป็นเสี้ยวใจของคนที่จบเศรษฐศาสตร์มา แม้จะนานหลายปีมาแล้ว— ข้าพเจ้าก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ ว่าหนังสือเล่มนี้ยังสะท้อนความเข้าใจผิดของหลายๆ คน เกี่ยวกับ “วิธีทำงาน” ของนักเศรษฐศาสตร์ และ “กระบวนการทำงาน” ของระบบเศรษฐกิจทางตลาด (market economy – ต่อไปข้าพเจ้าจะเรียกย่อๆ ตามหนังสือว่า “ตลาด”) ในสาระสำคัญบางประการ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะคงไม่มีใครสามารถแก้ไขปรับปรุงระบบตลาดได้ หากคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร ในความเห็นของข้าพเจ้า ความเข้าใจผิดที่สะท้อนในหนังสือเล่มนี้มีอยู่สองประการหลักดังนี้:
1) “ตลาดแสร้งประพฤติตัวว่าเป็นวิทยาศาสตร์”
ข้อกล่าวหาที่ว่าตลาด หรือเศรษฐศาสตร์โดยรวม “เสแสร้ง” เป็นวิทยาศาสตร์นั้น มีมาทุกยุคทุกสมัย จริงๆ แล้วเศรษฐศาสตร์นั้นไม่ได้แกล้งเป็นวิทยาศาสตร์ และก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์จอมปลอม (ในแง่ใช้กระบวนการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่หลอกผู้คนว่าเป็น) ด้วย แต่ทว่าเศรษฐศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งแน่นอน ในแง่ที่มีจุดประสงค์ วิธีการ และกระบวนการที่ไม่ต่างจากวิทยาศาสตร์อื่นๆ เช่น ชีววิทยา หรือฟิสิกส์ เพียงแต่เศรษฐศาสตร์และ “วิทยาศาสตร์สังคม” (social sciences) แขนงอื่นๆ ที่ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์เป็นหลัก เช่น ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา และการเมืองการปกครอง ไม่มีทางค้นพบ “กฎธรรมชาติ” ที่แน่นอนและสรุปได้เป็นสมการทางคณิตศาสตร์ เหมือนวิทยาศาสตร์อื่นๆ ที่ศึกษาโลกธรรมชาติเป็นหลัก เพราะมนุษย์หกพันล้านคนบนโลกนั้น มีลักษณะ อารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมที่เป็นตัวของตัวเองสูง ตลอดจนมีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ซับซ้อนและไม่สามารถคาดเดาได้ นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์และวิทยาศาสตร์สังคมแขนงอื่นๆ ต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ เช่น เราแทบไม่มีทางทดลองทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาคในห้องทดลองได้เลย เพราะระบบเศรษฐกิจตลาดประกอบด้วยตัวแปรเป็นร้อยเป็นพัน ที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างซับซ้อน และไม่มีใครคาดเดาหรือควบคุมได้อย่างแม่นยำ
จำได้ว่า ตอนที่ข้าพเจ้าเรียนเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นสมัยอยู่มหาวิทยาลัย อาจารย์อธิบายว่าทำไมหลายๆ คนจึงดูถูกนักเศรษฐศาสตร์ว่า พูดให้ขาวเป็นดำหรือดำเป็นขาวก็ได้แบบไม่มีใคร “รู้จริง” โดยชี้ให้เห็นดังนี้:
ในชีวิตจริง ถ้าเราจะศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างราคาตลาด (Price) กับปริมาณสินค้า (Quantity) ในตลาด เราทำได้เพียงเก็บข้อมูลทั้งสองอย่างไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา เก็บ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งก็จะได้ข้อมูลคู่หนึ่ง ผ่านไปสักพัก เมื่อเอาข้อมูลทุกคู่มาพล็อตเป็นกราฟ ให้ Price เป็นแกนแนวตั้งหรือแกน Y และ Quantity เป็นแกนแนวนอนหรือแกน X ก็จะได้รูปคล้ายรูปข้างล่างนี้:
ทีนี้ถ้าเราอยากรู้ว่า อุปทานและอุปสงค์ (supply & demand) ที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เราสามารถตีความข้อมูลข้างต้นได้สองแบบ:
กราฟข้างซ้ายแสดงให้เห็นว่าอุปทานขยายตัวจาก S0 ไป S2 ขณะที่อุปสงค์อยู่กับที่ ในทางกลับกัน กราฟข้างขวาแสดงให้เห็นว่าอุปสงค์ขยายตัวจาก D0 ไป D2 ขณะที่อุปทานอยู่กับที่ ตำแหน่งของเส้นอุปสงค์และอุปทาน ลากผ่านข้อมูลทุกจุดในทั้งสองกราฟ แสดงว่าทั้งการตีความทั้งสองแบบเป็นไปได้ทั้งคู่ เนื่องจาก “ข้อเท็จจริง” เกิดได้เพียงกรณีเดียว แสดงว่าการตีความแบบใดแบบหนึ่งต้อง “ผิด” ปัญหาคือหากเราไม่มีข้อมูลอื่นนอกเหนือจากนี้ มันก็ยากที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น อุปทานเปลี่ยน หรืออุปสงค์เปลี่ยนกันแน่
แม้ตัวอย่างนี้จะดูง่ายไปหน่อย แต่ข้าพเจ้าคิดว่ามันก็แสดงถึง “ความยาก” ของกระบวนการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ ได้ดีพอสมควร เพราะเวลาเราเก็บข้อมูลเป็นคู่ มันก็มาเป็นจุด (x,y) แบบนี้ทั้งนั้น ไม่ได้มาเป็นเส้นๆ ให้เราเห็นความสัมพันธ์อย่างชัดเจน ดังนั้นอย่าโทษนักเศรษฐศาสตร์เลย… “ความจริง” นั้นยากนักที่จะหยั่งรู้ 🙂
2) “ตลาดเป็นศาสนา”
ข้อนี้เป็นความเข้าใจผิดที่ใหญ่พอสมควร เพราะคนหลายคนยังคิดว่า กระบวนการทำงานของตลาดปัจจุบันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเจตนามนุษย์ คล้ายกับศาสนาทุกศาสนาที่ทุกคนมีสิทธิ “เลือกได้” ว่าจะนับถือหรือไม่ ขนาดไหน แต่จริงๆ แล้วแม้ว่าตลาดจะ ส่งผลกระทบ “เสมือนหนึ่ง” เป็นศาสนาหนึ่ง เช่น ทำให้คนหลงงมงายกับการบริโภค นับถือเงินเป็นพระเจ้า ฯลฯ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “กระบวนการทำงาน” ของตลาดนั้นจะเหมือนศาสนาไปด้วย เพราะตลาดมีลักษณะเป็น “เหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นเอง” (emergent event) คือเป็นผลจากการกระทำของคน แต่ไม่ใช่ผลจาก “เจตนา” ของใครคนใดคนหนึ่งหรือหลายคนรวมกัน อันนี้แตกต่างจากศาสนา ที่เกิดขึ้นและเผยแพร่ด้วย “เจตนา” ของคน เช่น การเทศนาของพระศาสดา การพิมพ์คัมภีร์แจกจ่าย ฯลฯ
เพื่อให้ประเด็นนี้ชัดขึ้น ข้าพเจ้าขอแปล (อีกแล้ว) บทความของรัสเซล โรเบิร์ตส์ ที่อ่านเจอใน EconLog มาให้ทุกท่านอ่าน ยาวซักนิด แต่น่าสนใจนะ (คิดเข้าข้างตัวเอง :))
ความเป็นจริงของตลาด (The Reality of Markets)
คุณกำลังนั่งอยู่ในบ้าน รู้สึกว่าหนาวทั้งๆ ที่วันนี้อากาศร้อน สังเกตว่าแอร์กำลังเป่าแรง คุณลุกขึ้นไปเช็คอุณหภูมิ เมื่อสันนิษฐานของคุณเป็นจริง —มีใครตั้งอุณหภูมิต่ำเกินไป— คุณก็รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร คุณลุกขึ้นไปหมุนหน้าปัดเพื่อปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้น แล้วกลับไปอ่านหนังสือต่อ
หรือคิดภาพว่าคุณกำลังจะออกจากบ้านไปทำอะไรสักอย่าง เปิดประตูมาเจอฝนกำลังตกพอดี เพราะไม่มีสวิตช์ที่จะปิดมัน หรือหมุนหน้าปัดเปลี่ยนค่าดินฟ้าอากาศให้เป็น “แห้ง” คุณเลยต้องกลับเข้าบ้านไปเอาเสื้อฝนหรือร่มมาคันหนึ่ง
เป็นเรื่องง่ายที่จะแบ่งประสบการณ์ทั้งหมดของเราเป็นสองประเภทนี้— เรื่องอุณหภูมิในบ้านของคุณเป็นผลจากการกระทำ และเจตนาของคน ในขณะที่เรื่องฝนตกนอกบ้านไม่ได้เป็นผลของการกระทำ และเจตนาของคนแต่อย่างใด
แต่จริงๆ แล้วมีประสบการณ์อีกประเภทหนึ่ง— ประสบการณ์ที่เป็นผลจากการกระทำของคน แต่ไม่ได้เป็นผลจากเจตนาของใคร
ภาษาเป็นตัวอย่างหนึ่ง ไม่มีใครออกแบบหรือควบคุมภาษาอังกฤษ หลายคนอุปโลกน์ตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่พยายามเปลี่ยนทิศทางวิวัฒนาการของภาษา แต่พวกเขาไม่มีอำนาจควบคุมจริงๆ เหมือนรัฐบาลฝรั่งเศส ที่ไม่มีอำนาจสั่งคนฝรั่งเศสไม่ให้เรียกวันเสาร์อาทิตย์ว่า “เลอ วีคเอ็นด์” (le weekend) แต่ให้หันมาใช้ศัพท์ทางการว่า “วันสุดสัปดาห์” (fin de semaine) แทน
ใครเป็นคนคิดคำกริยา “ไปกูเกิ้ล” (to google)? หรือคำนาม “ไซเบอร์สเปซ” (cyberspace) หรือ “บล็อก” (blog)? แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ใครเป็นคนตัดสินว่าให้ใช้ศัพท์เหล่านี้อย่างแพร่หลายโดยไม่ต้องมีคำอธิบาย? คำตอบคือไม่มีใคร การที่ไม่มีใครควบคุมภาษา อาจทำให้เราคาดว่าภาษาจะเป็นเรื่องสับสนและส่งเดช แต่คำศัพท์ต่างๆ ไม่ได้ตกมาจากฟ้าเหมือนสายฝน คำไหนจะดำรงอยู่ คำไหนจะสูญหายไป คำไหนจะทำให้คนชอบ คำไหนจะถูกละเลย ประเด็นเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ มนุษย์และการตัดสินใจของมวลชนทำให้คำเหล่านี้ (และไม่ใช่คำอื่นๆ) กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาษาอังกฤษเพราะมันเป็นประโยชน์ แต่ไม่มีใครเป็นตุลาการชี้ขาด ในแง่หนึ่ง เราทุกคนเป็นตุลาการ แต่ไม่ใช่ในความหมายปกติของ “เรา” คือในแง่การตัดสินใจหมู่ เพราะไม่มีการตัดสินใจหมู่ในเรื่องนี้ มีเพียงคนหลายๆ คนที่ใช้คำศัพท์บางคำ แพร่กระจายไปแบบปากต่อปาก ภาษาอุบัติขึ้นจากพฤติกรรมการแลกเปลี่ยนอันซับซ้อนของผู้ที่พูด อ่าน และเขียนภาษานั้นๆ
เป็นเรื่องตลกไม่น้อยที่เราไม่มีศัพท์ที่ใช้เรียกอิทธิผลกลุ่มประเภทนี้ ที่ไม่มีการลงคะแนนเสียง และไม่มีการมอบอำนาจให้กับผู้เชี่ยวชาญหรือคณะกรรมการ คนที่ใช้ภาษาอังกฤษ “ตัดสิน” ว่าคำไหนอยู่ คำไหนไป แต่ไม่ใช่ในความหมายของ “ตัดสิน” ที่แสดงเจตนา เพราะไม่มีเจตนากลุ่มในเรื่องนี้
เวลาที่ใช้ในการเดินทางในเมืองใหญ่ๆ ของอเมริกา เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ทำไมเราต้องใช้เวลาเดินทางนานเหลือเกินช่วงชั่วโมงเร่งด่วน? นี่เป็นความผิดของใคร? ไม่มีใครผิด แต่มันก็ไม่ใช่ปรากฏการณ์บังเอิญหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ การจราจรเป็นผลที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ แต่ไม่มีใครออกแบบ เวลาที่ใช้ในการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เป็นผลจากการตัดสินใจของคนขับรถหลายๆ คน ที่เกี่ยวโยงกันอย่างซับซ้อน มันเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ แม้ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง เรารู้ว่ารถติดช่วงชั่วโมงเร่งด่วนมากกว่าช่วงกลางวัน และรถติดในเมืองใหญ่มากกว่าในเมืองเล็ก
ที่พูดมานี้ไม่ได้แปลว่า เราไม่มีทางจะเปลี่ยนเวลาเดินทางหรือเหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นเองเหล่านี้ได้ ปัญหารถติดไม่เหมือนฝนตก แต่วิธีเปลี่ยนที่เห็นชัด กล่าวคือวิธีที่เปรียบเสมือนการหมุนหน้าปัดนั้น ส่งผลในทางที่คนส่วนใหญ่ไม่คาดคิด การขยายเลนถนนและเพิ่มทางเลือกในการสัญจร ในระบบสาธารณะ ไม่สามารถลดปริมาณรถช่วงชั่วโมงเร่งด่วนได้ ยกเว้นในระยะสั้นมากๆ เท่านั้น “วิธีแก้ปัญหา” เหล่านี้มองผลลัพธ์ของเหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นเองว่าไม่ต่างจากอุณหภูมิบนเครื่องวัด ซึ่งนั่นทำให้วิธีเหล่านี้ต้องล้มเหลวโดยไม่มีข้อยกเว้น
เราไม่มีปัญหากับแนวคิดที่ว่า ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังเวลาที่ใช้ในการเดินทางช่วงชั่วโมงเร่งด่วนในเมืองใหญ่ๆ ของอเมริกา คงไม่มีใครเถียงว่า การที่ผมเป็นคนขับรถซึ่งใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติครึ่งชั่วโมง ระหว่างชั่วโมงเร่งด่วนนั้น แปลว่าผมตั้งใจที่จะใช้เวลาเดินทางขนาดนั้น แม้ผมจะเป็นคนขับ เราทุกคนเข้าใจว่า มันไม่ใช่ความตั้งใจของผมที่จะใช้เวลาเกินกว่าปกติไปครึ่งชั่วโมง เราเข้าใจว่าครึ่งชั่วโมงที่เกินมานั้น เป็นผลจากการตัดสินใจของคนขับรถแต่ละคน เราเข้าใจด้วยว่า มันเป็นเรื่องเหลวไหลที่จะเสนอว่า “เรา” – คนขับรถทุกคนรวมกัน— มีเจตนาหมู่ที่ต้องการให้การจราจรช่วงชั่วโมงเร่งด่วนติดเป็นพิเศษ มันไม่ได้เป็นเจตนาของใครคนใดคนหนึ่ง และมันก็ไม่ได้เป็นผลของเจตนาหมู่ใดๆ ด้วย นี่เป็นความคิดที่ไร้ความหมาย
ในทำนองเดียวกัน ถ้าคุณย้ายจากเมืองเซนต์หลุยส์ ไปวอชิงตัน ดี.ซี. เหมือนที่ผมทำเมื่อสองปีก่อน คุณจะพบว่า บ้านในเมืองวอชิงตัน ดี.ซี. นั้นแพงกว่าบ้านลักษณะเดียวกันในเมืองเซนต์หลุยส์ ตอนผมซื้อบ้านในวอชิงตัน ผมไม่ได้โกรธผู้ขายว่าตั้งราคาแพง ผมไม่ได้โทษว่า เป็นความผิดของเขาที่บ้านเขาราคาสูงกว่าบ้านที่คล้ายกันในเมืองเซนต์หลุยส์ ผมไม่ได้แสดงอารมณ์กราดเกรี้ยวว่า ราคาที่เขาขายผมนั้น สูงกว่าราคาที่เขาซื้อบ้านนั้นมาตอนมันเป็นบ้านใหม่เมื่อปี 2512 เกือบสิบเท่า คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าราคาบ้านนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้ถูกกำหนดโดยคนขาย หรือใครคนใดคนหนึ่ง หรือเจตนาหมู่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่มีใครตั้งใจจะให้ราคาบ้านในเมืองวอชิงตัน ดี.ซี. ถีบตัวสูงขึ้นสองเท่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมา แต่มันก็เป็นไปแล้ว
เศรษฐศาสตร์คือการศึกษาวิเคราะห์เหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นเองเหล่านี้ โดยเฉพาะเมื่อมีราคา (ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน) มาเกี่ยวข้อง เราเรียกเหตุการณ์เหล่านี้ว่า “ตลาด” มันเป็นคำที่โชคร้าย แต่แน่นอน ผมควบคุมการใช้ศัพท์นี้ไม่ได้ มันเป็นคำที่ใช้กันมากว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว และคงใช้กันต่อไปในอนาคต ผมบอกว่าคำนี้โชคร้ายเพราะในหัวของประชาชน คำนี้ทำให้นึกภาพตลาดหุ้นนิวยอร์ค หรือตลาดสดของชาวบ้าน ซึ่งเป็นการติดต่อระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่เป็นระเบียบและมีศูนย์กลาง (centralized) แต่ตลาดส่วนใหญ่ที่เราศึกษาในเศรษฐศาสตร์นั้น เป็นการติดต่อระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ในลักษณะกระจายออกจากศูนย์กลาง (decentralized) และไม่มีระเบียบแบบแผน
แต่การติดต่อในลักษณะกระจายออกจากศูนย์กลางและไม่มีระเบียบแบบแผนเหล่านี้ ก่อให้เกิดราคา ทั้งที่เป็นตัวเงินในกรณีของบ้าน หรือไม่เป็นตัวเงินในกรณีของการจราจร และก่อให้เกิดความเป็นระเบียบในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ถูกจัดระเบียบโดยใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ความเป็นระเบียบซึ่งคาดเดาได้นี้ เป็นสิ่งที่ซึมซับอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ในทางที่เราไม่ค่อยเห็นความสำคัญของมัน
ผมขอยกตัวอย่างที่สำคัญมากตัวอย่างหนึ่ง ความเป็นระเบียบของราคา และการปราศจากสภาวะขาดแคลน (lack of shortages) ที่ตามมานั้น เอื้ออำนวยให้ความรู้สามารถกระจายไปได้ในวงกว้าง ด้วยการเลือกเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (specialization) ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นสิ่งที่พยุงระดับความเป็นอยู่ของเรา ระดับของความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเกิดขึ้นควบคู่ไปกับราคา แต่ราคาเป็นสิ่งที่ทำให้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเกิดได้ บริษัทที่ผลิตดินสอไม่เคยต้องกังวลว่า คาร์บอนที่ใช้ทำไส้ดินสอจะขาดตลาดหรือไม่ ต้นสนที่ใช้ทำแท่งดินสอจะขาดตลาดหรือไม่ หรือสีเหลืองที่ใช้ทาดินสอจะขาดตลาดหรือไม่ ราคาเป็นสิ่งที่ช่วยให้บริษัทดินสอสามารถให้คนอื่นจัดการ (outsource) กับวัตถุดิบเหล่านี้ และทำให้ไม่จำเป็นต้องรู้เทคนิคทุกอย่าง ที่จำเป็นต่อการใช้กระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตดินสอ การอุบัติขึ้นของราคา ช่วยให้เรามีดินสอใช้ โดยที่ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าดินสอนั้นต้องผ่านขั้นตอนการผลิตอะไรบ้าง ช่วยให้โลกน่าอยู่ขึ้น เพราะเป็นโลกที่ดินสอมีราคาถูก เหลือใช้ และหาซื้อได้ง่าย
ความเข้าใจในเหตุการณ์อุบัติขึ้นเองที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ตลาด คือหัวใจของการคิดแบบเศรษฐศาสตร์ ในทางกลับกัน สมองมนุษย์เคยชินกับการคิดแบบที่เราอาจเรียกว่า การคิดแบบวิศวกรรม (engineering way of thinking) ซึ่งเป็นวิธีที่การกระทำและเจตนาของคนทำงานไปควบคู่กัน ถ้าผมไม่ชอบใจขนาดของห้องครัวผม ผมก็วางแผนและทำตามนั้น ถ้าแผนนั้นเป็นแผนที่ดี ผลลัพธ์คือห้องครัวที่ใหญ่ขึ้น ใครก็ตามที่นั่งเฉยๆ รอให้ห้องครัวใหม่อุบัติขึ้นเอง โดยไม่มีการกระทำหรือเจตนาผลักดัน ก็จะต้องพบแต่ความผิดหวัง หรือถ้าผมเห็นใบไม้หล่นจากต้นไม้ ผมไม่หวังว่ามันจะเก็บกวาดตัวเอง ผมต้องตั้งใจที่จะกวาดมัน แล้วทำตามความตั้งใจนั้น การหมุนหน้าปัดเพื่อปรับอุณหภูมิในบ้านผมเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง
แต่การคิดแบบวิศวกรรมนั้น ใช้ไม่ได้กับเหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นเอง การที่เราจะพยายามเปลี่ยนผลลัพธ์ของเหตุการณ์อุบัติขึ้นเอง เป็นเรื่องยากกว่าการสร้างสะพาน หรือขยายห้องครัว หรือส่งคนไปยืนบนดวงจันทร์หลายเท่า ความเข้าใจในความท้าทายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นก้าวแรกของการตอบคำถามอันเก่าแก่ว่า ทำไมเราจึงสามารถส่งคนไปยืนบนดวงจันทร์ได้ แต่ไม่สามารถขจัดความยากจนได้ การส่งคนไปยืนบนดวงจันทร์นั้นเป็นปัญหาทางวิศวกรรม ซึ่งสามารถแก้ได้ด้วยการใช้เหตุผลและทรัพยากรอย่างเพียงพอ แต่การขจัดความยากจนนั้นเป็นปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ (และคำว่า “เศรษฐศาสตร์” ของผมก็ไม่ได้หมายความว่าเงิน หรือสิ่งที่เกี่ยวกับเงิน) คือเป็นความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นเอง ในกรณีนี้ เงินเพียงอย่างเดียว— ในปริมาณที่แนวคิดนอกเศรษฐศาสตร์อาจเสนอ คือปริมาณที่ไม่คำนึงถึงแรงจูงใจและภาวะตลาด— ไม่น่าจะแก้ปัญหาได้
โธมัส ซอเวลล์ (Thomas Sowell) ชอบพูดว่า ความเป็นจริงไม่มีทางเลือก แต่เราอยากเลือกได้เหลือเกิน เราอยากเปลี่ยนผลลัพธ์โดยปราศจากผลกระทบ ให้ง่ายเหมือนกับการหมุนหน้าปัดบนผนังเพื่อปรับอุณหภูมิ เราอยากปรับรายได้ขึ้นและปรับราคาน้ำมันลง เราอยากโทษวอลล์มาร์ท ที่ลูกจ้างเขามีรายได้ต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยประชาชาติ เราอยากโทษเมืองจีน (หรือเม็กซิโกหรือญี่ปุ่นหรืออินเดีย) ที่เราขาดดุลการค้า เราอยากโทษหรือชมเชยประธานาธิบดี เวลางานใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจให้ค่าจ้างสูงหรือต่ำ แนวคิดที่ไม่คำนึงถึงความเป็นจริง และละเลยความซับซ้อนของระบบความจริงนั้น ใช้กันแพร่หลายในวงการสื่อ และก่อให้เกิดผลกระทบมากมายที่ไม่มีใครเจตนา
ลองคิดถึงลูกจ้างธรรมดาๆ ของวอลล์มาร์ทที่ได้ค่าแรงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประชาชาติ และไม่มีสวัสดิการสุขภาพใดๆ ถ้าคนขายบ้านไม่ได้เป็นคนตั้งราคาบ้าน ทำไมคนโทษวอลล์มาร์ทว่าให้ค่าแรงต่ำหรือไม่ให้สวัสดิการที่พอเพียง? มันอาจดูชัดเจนว่าวอลล์มาร์ทตั้งค่าแรงของลูกจ้างตัวเอง แต่นั่นเป็นความคิดแบบซื่อๆ เหมือนกับคิดว่าคนขายบ้านเป็นผู้ตั้งราคาบ้าน
ยกตัวอย่างเช่น รายได้ของผมสูงกว่ารายได้ของลูกจ้างธรรมดาๆ ของวอลล์มาร์ท ข้อเท็จจริงนี้อาจทำให้คุณหลงเชื่อว่าผู้ว่าจ้างของผม มหาวิทยาลัย จอร์จ เมสัน มีคุณธรรมสูง ในขณะที่วอลล์มาร์ทเป็นบริษัทโลภมากที่สนใจเฉพาะตัวเลขกำไรเท่านั้น
แต่สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ผมมีรายได้ดีกว่าลูกจ้างธรรมดาๆ ของวอลล์มาร์ท ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับคุณธรรมของมหาวิทยาลัย จอร์จ เมสัน เมื่อเทียบกับความโลภของวอลล์มาร์ท แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องของ ทางเลือก ต่างๆ ของผมนอกมหาวิทยาลัย เทียบกับทางเลือกของลูกจ้างวอลล์มาร์ท ทำนองเดียวกับที่ราคาบ้านของผมขึ้นอยู่กับราคาบ้านอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ถ้าเราอยากให้บริษัทอย่างวอลล์มาร์ททั่วโลกจ่ายค่าจ้างสูงขึ้น ลูกจ้างค่าแรงต่ำต้องมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น มีการศึกษาสูงขึ้น มีทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงมากขึ้น
เมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้นักเรียนคนหนึ่งฟัง เขาถามกลับว่า ทำไมวอลล์มาร์ทยังเอาเปรียบลูกจ้างค่าแรงต่ำผู้มีทางเลือกจำกัดอยู่
เป็นเรื่องน่าสนุกที่จะตอบคำถามนี้ด้วยการถามคำถามกลับอีกหนึ่งข้อ— คนขายบ้านทั้งหลายในเมืองวอชิงตัน ดี.ซี. มีสิทธิอะไรมาเอาเปรียบผู้สนใจจะซื้อ ด้วยการตั้งราคาสูงกว่าในเมืองเซนต์หลุยส์? แต่คำตอบแบบนี้จะทำให้เราพลาดประเด็นที่ลึกซึ้งกว่านั้นสองข้อ ประเด็นแรกคือ วอลล์มาร์ทไม่ได้เอาเปรียบคนด้วยการจ้างราคาถูก ความจริงเป็นเรื่องตรงกันข้าม การสร้างโมเดลในการทำธุรกิจ (business model) ที่ทำให้ลูกจ้างค่าแรงต่ำสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ที่ต้องการสินค้าราคาต่ำได้นั้น แปลว่าวอลล์มาร์ทช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับลูกจ้างค่าแรงต่ำ และเพิ่มค่าจ้างให้สูงกว่าระดับที่ลูกจ้างเหล่านี้จะได้รับ หากโลกนี้ไม่มีวอลล์มาร์ท
ประเด็นที่สองคือ การมองวอลล์มาร์ทว่าเป็นสาเหตุของภาวะค่าแรงต่ำ อาจนำไปสู่นโยบายที่เป็นผลเสีย เช่นการห้ามไม่ให้วอลล์มาร์ทเปิดสาขาในเมืองของคุณ เมื่อไหร่วอลล์มาร์ทเปิดสาขา มีคนจำนวนมากไปเข้าคิวสมัครงานด้วยความกระตือรือร้น การลดทางเลือกในการทำงานจะเป็นการช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไร?
เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่ผู้มีเจตนาดีหลายคนมักไปประท้วงร่วมกับคู่แข่งของวอลล์มาร์ท ที่คำนึงแต่ผลประโยชน์ตัวเอง ต่อต้านไม่ให้วอลล์มาร์ทและบริษัทอื่นๆ ขยายกิจการ ผมว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ความไม่เข้าใจหลักเศรษฐศาสตร์ ผลักดันประเทศให้ไปสู่ปากเหวแห่งความสับสนวุ่นวายทางเศรษฐกิจ
ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ เมืองนิว ออร์ลีนส์อยู่ในภาวะสับสนวุ่นวาย โรงกลั่นน้ำมันหลายโรงถูกภัยเฮอริเคนคาเทอรินา บังคับให้ปิดกิจการ ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น นักการเมืองขู่จะฟ้องผู้ผลิตน้ำมันที่ “ปั๊มราคา” (price gouging) คือขึ้นราคาช่วงวิกฤติ นักการเมืองตั้งแต่ประธานาธิบดีบุชลงมา กำลังขอร้องผู้ขับขี่ให้ขับรถน้อยลง หรือ “เฉพาะเมื่อจำเป็น” ราวกับประโยคนี้มีความหมาย ดูเหมือนนักการเมืองเหล่านี้เชื่อว่า การวิงวอนและสั่งสอนพลเมือง จะสามารถทำหน้าที่ของราคาในการสร้างและพยุงความมีระเบียบ ระเบียบที่ทำให้ผมไม่ต้องคิดถึงว่า จะมีน้ำมันเติมที่ปั๊มหน้าปากซอยหรือเปล่าสำหรับการขับรถไปพักผ่อน หรือไปทำงาน หรือไปโรงพยาบาลด้วยเรื่องฉุกเฉิน
แต่ความเป็นจริงไม่มีทางเลือก เราไม่สามารถลดปริมาณน้ำมันในตลาดอย่างเฉียบพลัน และให้มันมีราคาต่ำในขณะเดียวกัน เราไม่มีหน้าปัดที่จะปรับราคาน้ำมัน ผลที่ตามมาจากคำขู่ทั้งหลายของนักการเมืองเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ง่าย— ผู้ผลิตน้ำมันเริ่มแบ่งสรรปันส่วน (rationing) กันแล้ว ผู้ขับขี่ทั้งหลายกังวลว่าน้ำมันจะขาดตลาด และเมื่อคิดถึงคำขู่ที่จะลงโทษคนปั๊มราคา ความกังวลนั้นก็ถูกต้องแล้ว ผลที่เกิดขึ้นคือ สถานการณ์รถต่อคิวยาวเพื่อเข้าปั๊มน้ำมันในบางเมือง และปั๊มน้ำมันหลายๆ แห่งปิดก่อนเวลาปกติเนื่องจากน้ำมันหมด เป็นผลลัพธ์เดียวกับที่เราเห็นเมื่อน้ำมันถูกควบคุมราคาอย่างโจ่งแจ้งในทศวรรษ 1970s
ฟรีดริช ฮาเย็ค (Friedrich Hayek) ในหนังสือชื่อ “ความหยิ่งอันร้ายกาจ” (“The Fatal Conceit”) กล่าวว่า “ภารกิจอันน่าแปลกของเศรษฐศาสตร์คือ การแสดงให้ประชาชนเห็นว่า พวกเขารู้น้อยแค่ไหน เกี่ยวกับสิ่งที่เขาคิดว่าเขาออกแบบได้.” (“The curious task of economics is to demonstrate to men how little they really know about what they imagine they can design.”) โชคร้ายที่เวลานักการเมืองพยายามหมุนหน้าปัดปรับราคาลงเพื่อรักษาระเบียบ พวกเขาทำได้เพียงกดสถานการณ์ให้เลวร้ายลงกว่าเดิม เราควรระลึกถึงคุณสมบัติการอุบัติขึ้นเอง (emergent nature) ของราคาให้มาก โดยเฉพาะในยามวิกฤติเช่นนี้.