หลังจากที่ตกเป็นข่าวและ “หมาก” ในเกมการเมืองอย่างเข้มข้นมานาน ในที่สุด ไอทีวี ก็ถึงเวลาปิดฉากลงหลังจากที่เปลี่ยนสีจาก “ทีวีิอิสระ” มาเป็น “ทีวีของไอ (คนที่คุณก็รู้ว่าใคร)” มานานหลายปี (จนผู้เขียนทนดูไม่ได้มานานแล้ว เหมือนที่ทนดู ASTV ไม่ได้นั่นแหละ เอียงกะเท่เร่พอกัน ผิดกันแต่เอียงไปคนละด้านเท่านั้น)
ขณะที่เขียนอยู่นี้ ศาลปกครองยังไม่มีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน แต่ผู้เขียนคิดว่าถึงศาลจะประกาศคุ้มครอง ก็เพียงแค่ “ยืดเวลา” แห่งการล่มสลายของไอทีวีออกไปอีกหน่อยเท่านั้น เพราะถึงเวลานี้เจ้าหนี้ของบริษัทต้องฟ้องล้มละลายแน่ๆ และ สปน. ก็ยึดสัมปทานไปแน่ๆ อยู่แล้ว
ถ้าถามว่า คิดว่ารัฐทำ “ถูกต้อง” ไหมกับกรณีนี้ ก็ต้องบอกว่า “ไม่ถูก” อย่างแรง เพราะเรื่องอะไรที่รัฐจะต้องประกาศ “อุ้ม” พนักงานบริษัทเอกชนหนึ่งบริษัท ที่กำลังจะเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย แถมไม่ได้อุ้มอย่างเดียว ยัง “ยก” กิจการ(ที่เผอิญมีกำไรดี)นั้นใส่พานไปให้โมเิดิร์นไนน์ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บริหารอีกต่างหาก
ถึงจะอ้างว่าให้โมเิดิร์นไนน์บริหาร “ชั่วคราว” แต่ค่าจ้างบริหารที่สูงถึง 100 ล้านบาทต่อเดือน กับข้อเท็ิจจริงที่ว่าโมเิดิร์นไนน์แข่งขันกับเอกชนช่องอื่นๆ ในฐานะ “ผู้เล่น” คนหนึ่งในตลาด เป็นบริษัทที่แปรรูปไปแล้ว ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่รัฐเป็นเจ้าของ 100% อีกต่อไป ก็ทำให้ สปน. ตอบข้อครหาไม่ได้เลยว่า ทำไมไม่ “เิปิดประมูล” ให้ช่องอื่นๆ ได้เสนอราคาเข้ามาบริหารไอทีวี ถ้านั่นเป็นทางเลือกที่รัฐต้องการ
“ล็อกสเป็ค” แบบน่าเกลียดขนาดนี้ ก็สมควรแล้วที่รัฐบาลจะถูกคนรุมด่าทั่วทั้งสารทิศ (รวมทั้งพนักงานโมเิดิร์นไนน์เองด้วย)
หลังจากที่ตกเป็นข่าวและ “หมาก” ในเกมการเมืองอย่างเข้มข้นมานาน ในที่สุด ไอทีวี ก็ถึงเวลาปิดฉากลงหลังจากที่เปลี่ยนสีจาก “ทีวีิอิสระ” มาเป็น “ทีวีของไอ (คนที่คุณก็รู้ว่าใคร)” มานานหลายปี (จนผู้เขียนทนดูไม่ได้มานานแล้ว เหมือนที่ทนดู ASTV ไม่ได้นั่นแหละ เอียงกะเท่เร่พอกัน ผิดกันแต่เอียงไปคนละด้านเท่านั้น)
ขณะที่เขียนอยู่นี้ ศาลปกครองยังไม่มีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน แต่ผู้เขียนคิดว่าถึงศาลจะประกาศคุ้มครอง ก็เพียงแค่ “ยืดเวลา” แห่งการล่มสลายของไอทีวีออกไปอีกหน่อยเท่านั้น เพราะถึงเวลานี้เจ้าหนี้ของบริษัทต้องฟ้องล้มละลายแน่ๆ และ สปน. ก็ยึดสัมปทานไปแน่ๆ อยู่แล้ว
ถ้าถามว่า คิดว่ารัฐทำ “ถูกต้อง” ไหมกับกรณีนี้ ก็ต้องบอกว่า “ไม่ถูก” อย่างแรง เพราะเรื่องอะไรที่รัฐจะต้องประกาศ “อุ้ม” พนักงานบริษัทเอกชนหนึ่งบริษัท ที่กำลังจะเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย แถมไม่ได้อุ้มอย่างเดียว ยัง “ยก” กิจการ(ที่เผอิญมีกำไรดี)นั้นใส่พานไปให้โมเิดิร์นไนน์ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บริหารอีกต่างหาก
ถึงจะอ้างว่าให้โมเิดิร์นไนน์บริหาร “ชั่วคราว” แต่ค่าจ้างบริหารที่สูงถึง 100 ล้านบาทต่อเดือน กับข้อเท็ิจจริงที่ว่าโมเิดิร์นไนน์แข่งขันกับเอกชนช่องอื่นๆ ในฐานะ “ผู้เล่น” คนหนึ่งในตลาด เป็นบริษัทที่แปรรูปไปแล้ว ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่รัฐเป็นเจ้าของ 100% อีกต่อไป ก็ทำให้ สปน. ตอบข้อครหาไม่ได้เลยว่า ทำไมไม่ “เิปิดประมูล” ให้ช่องอื่นๆ ได้เสนอราคาเข้ามาบริหารไอทีวี ถ้านั่นเป็นทางเลือกที่รัฐต้องการ
“ล็อกสเป็ค” แบบน่าเกลียดขนาดนี้ ก็สมควรแล้วที่รัฐบาลจะถูกคนรุมด่าทั่วทั้งสารทิศ (รวมทั้งพนักงานโมเิดิร์นไนน์เองด้วย)
จะว่าไป การตัดสินใจ “อุ้ม” ไอทีวีในครั้งนี้ อาจเป็นความพยายามของ สปน. ที่จะ “กลบเกลื่อน” ความรู้สึกผิดของตัวเองที่ไม่ยอมแยกค่าปรับมหาโหด 100,000 ล้านบาท ออกจากส่วนแบ่งรายได้ค้างจ่าย 2,200 ล้านบาท ตามที่ผู้บริหารไอทีวีร้องขอ
เพราะถ้ายอมแยกสองเรื่องนี้ออกจากกัน หมายความว่าเจรจาเรื่องค่าปรับ 100,000 ล้านบาท ต่างหากจากส่วนแบ่งรายได้ค้างจ่าย 2,200 ล้านบาท ไอทีวีคงหาเงิน(กู้)มาจ่าย 2,200 ล้านบาทได้ไม่ยาก แล้วค่อยไปเจรจาเรื่อง 100,000 ล้านบาทกันต่อ
เงินค่าปรับที่สูงถึง 100,000 ล้านบาท คือสาเหตุหลักที่ทำให้ไอทีวีต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย และเป็นเหตุให้ สปน. บอกเลิกสัญญา ไม่ใช่เงิน 2,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ไอทีวี “มีปัญญา” หามาจ่ายได้
ผู้เขียนคิดว่ากรณีนี้ “ไม่เป็นธรรม” กับไอทีวีระดับหนึ่ง เพราะค่าปรับ 100,000 ล้านบาทนั้น เป็นการตีความเนื้อหาในสัญญาของ สปน. เอง ไม่ได้อยู่ในคำพิพากษาของศาล (และสัญญาสัมปทานเองก็เขียนไม่ชัดเจนว่า อัตราดอกเบี้ยที่ใช้นั้นเป็นอัตราต่อวันหรือต่อปี) สิ่งที่ไอทีวีต้องจ่ายแน่ๆ เพราะผิดกฎหมายแน่ๆ ตามคำพิพากษาของศาล คือ 2,200 ล้านบาท ซึ่งคำพิพากษาที่เป็นชนวนของเรื่องทั้งหมดนี้ก็ยุติธรรมดีแล้ว เสียดายอย่างเดียวว่าศาลไม่สั่งสืบสวนและลงโทษอนุญาโตตุลาการด้วย เพราะคำสั่งงี่เง่าของอนุญาโตตุลาการที่ให้ไอทีวีลดสัดส่วนรายการข่าวลงจาก 70% เป็น 50% และให้ลดส่วนแบ่งรายได้จาก 1,000 ล้านบาทต่อปี เป็น 230 ล้านบาทต่อปี (ทั้งๆ ที่ทั้งสองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่นำเข้ากระบวนการอนุญาโตฯ ตั้งแต่แรก คือค่าปรับ 20 ล้านบาทที่ สปน. ต้องจ่ายให้ไอทีวี และทั้งสองเรื่องถือเป็น “สาระสำคัญ” ของสัมปทานที่ต้องได้รับมติเห็นชอบจาก ครม. ก่อน ถึงจะแก้ไขได้) ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะต้องมีการ “ติดสินบน” ไม่น้อย
ถ้า สปน. ยอมแยกประเด็นค่าปรับ 100,000 ล้านบาท ออกจาก 2,200 ล้านบาท ไอทีวีก็คงยังไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย
แต่ในเมื่อ สปน. ไม่ยอมแยกประเด็น ทำให้ไอทีวีต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย สปน. ก็ควรปล่อยให้เรื่องทุกอย่างดำเนินไปตามกระบวนการ ไม่ใช่ไปประกาศ “อุ้ม” อย่างน่าเกลียด
ตรงนี้ควรกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า การ “เข้าสู่กระบวนการล้มละลาย” นั้น ไม่ได้หมายความว่าไอทีวี จะ “เป็นบริษัทล้มละลาย” โดยอัตโนมัติ
กระบวนการล้มละลายเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ต้อง “พิสูจน์” ภาระหนี้สินทุกชนิดของบริษัท ก่อนที่จะประเมินว่าบริษัทชำระหนี้ได้หรือไม่ได้ขนาดไหน นั่นแปลว่าค่าปรับ 100,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่จำนวนที่ไอทีวีไปกู้ใครมาเป็นลายลักษณ์อักษร หากเป็นผลจากการตีความข้อสัญญาระหว่าง สปน. กับไอทีวี ก็จะต้องผ่านการ “ตีความ” อีกรอบหนึ่ง (ว่าคำนวณจากอะไร ฯลฯ) ในชั้นศาล สมมุติถ้าศาลตัดสินว่า สปน. คำนวณผิด คือค่าปรับจริงๆ แล้วควรเป็น 100 ล้านบาท ไม่ใช่ 100,000 ล้านบาท ไอทีวีก็อาจออกจากกระบวนการล้มละลายได้อย่างสง่างาม ไม่ใช่ในฐานะบริษัทล้มละลายแต่ในฐานะบริษัทที่ผ่าน “การปรับโครงสร้างกิจการ” (คือตกลงกับเจ้าหนี้) แล้ว สามารถดำเนินกิจการตามสัมปทานต่อไปได้หลังจากที่จ่ายส่วนแบ่งรายได้ค้างจ่าย 2,200 ล้านบาท ให้กับ สปน.
ดังนั้น การที่ สปน. เลือกจะ “บีบ” ไอทีวีให้เข้าสู่กระบวนการล้มละลาย แล้วก็หาทาง “อุ้ม” พนักงาน แถมพกด้วยการ “เอื้อ” ให้บริษัทของรัฐได้เงินค่าบริหาร จึงเป็นการตัดสินใจที่ “แย่ที่สุด” ในบรรดาทางเลือกต่างๆ ในความเห็นของผู้เขียน
ถ้ารัฐไม่อยากให้ไอทีวีล้ม ก็น่าจะยอมแยกเจรจาเรื่อง 100,000 ล้านบาท กับเรื่อง 2,200 ล้านบาท ตั้งแต่แรก
ถ้ารัฐอยากยึดสัมปทานคืน ก็ไม่ควรอุ้มพนักงานบริษัท ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ถือหุ้นใหญ่คือเทมาเส็ก ผู้บริหารของบริษัท และกฎหมายแรงงาน จัดการกันเอง
และท้ายที่สุด เมื่อรัฐยึดสัมปทานคืนมาแล้ว สัมปทานที่รัฐยึดมานั้นก็ไม่ควรใส่พานเอาไปให้บริษัทที่เป็นของรัฐ เปิดประมูลให้ทุกช่อง หรือไม่ก็ใช้จัดตั้ง “ทีวีสาธารณะ” อย่างที่หลายๆ คนอยากเห็น จะ “สง่างาม” กว่าเยอะ
……
ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะ “เอียง” กะเท่เร่ขนาดไหน ยังไงๆ ก็ดีกว่าความไร้ซึ่งเสรีภาพนั้นอย่างสิ้นเชิง (พูดถึงเรื่องนี้ก็ได้เวลาโปรโมทอีกแล้ว – คุณร่วมลงนามต่อต้านการเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ท หรือยัง?)
ระหว่างมีทีวีที่เสนอข่าวแบบเอียงๆ กับไม่มี ผู้เขียนก็ขอ “มี” ดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้พยายามใช้วิจารณญาณของตัวเองแยกแยะได้ มีข้อมูลเยอะๆ ถึงอย่างไรก็ดีกว่ามีข้อมูลน้อยๆ ยิ่งมีสื่อที่เสนอข่าว “ตรงข้าม” กันเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้มองเรื่องเดียวกันจากหลายๆ มุมมอง ให้เข้าถึง “ความจริง” ได้ดีขึ้น เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่เคยคิดว่า “สื่อที่ไม่เป็นกลาง” นั้นมีจริงอยู่แล้ว พลเมืองอย่างเราจึงควรเน้นการติดอาวุธทางปัญญาให้กับตัวเองเป็นดีที่สุด อย่าเชื่อทุกอย่างที่สื่อรายงานโดยดุษณี แต่พยายาม “สกัด” ความจริงออกมาจากข่าวให้มากที่สุด เท่าที่สติปัญญาจะำทำได้
(และพร้อมกันนี้ก็ขอเอาใจช่วยให้โทรทัศน์ช่อง PTV แพร่ภาพได้ เพราะถ้า ASTV ทำได้ ทำไม PTV ซึ่งใช้วิธีเดียวกันเป๊ะ จะทำไม่ได้? ขอเชิญอ่านบทวิเคราะห์ที่อธิบายได้ดีมาก เมื่อไหร่รัฐบาลจะเลิก “เลือกปฏิบัติ” แบบน่าเกลียดอย่างนี้เสียที)
แต่ในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่งที่ติดตามไอทีวีมานานหลายปีแต่เลิกดูไปนานแล้ว บอกตามตรงว่ารู้สึก “หมั่นไส้” ไม่น้อยกับนักข่าวไอทีวีที่ออกมาบีบน้ำตาออกข่าว ร้องขอความเป็นธรรม อ้างว่าตัวเองเป็นสื่อมีจริยธรรม ฯลฯ ทั้งๆ ที่พูดมานั้น “น้ำท่วมปาก” ทั้งนั้น
จะมาขอร้องรัฐบาลว่าอย่าเอา “การเมือง” มาระงับการออกอากาศได้อย่างไร ในเมื่อการระงับนั้นถือเป็น “อำนาจ” ของ สปน. เพราะเป็นผลสืบเนื่องจากคำพิพากษาของศาลที่ให้สิทธิ สปน. ในการยึดสัมปทานคืนได้ และตัวเองก็ “รับใช้” การเมืองมานานหลายปีดีดักจนใครๆ เขาก็รู้กันทั่ว (ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่า สปน. “ไม่เล่นการเมือง” ในกรณีนี้ แต่หมายความว่า ตลกดีที่ไอทีวีใช้ข้ออ้างเดียวกันกับสิ่งที่ตัวเองทำมาตลอด)
ผู้เขียนคิดว่าคนที่น่าสงสารที่สุดไม่ใช่นักข่าวที่ออกมาบีบน้ำตา เล่น “เกมการเมือง” ไม่ต่างจากข้อหาที่ว่ารัฐบาลทำ หากเป็นพนักงานชั้นผู้น้อยในไอทีวีที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จริงๆ ตลอดจนผู้ผลิตรายการดีๆ มากมายที่ต้องเดือดร้อนจากเรื่องที่ลุกลามใหญ่โต แต่มีชนวนมาจาก “ความโลภ” ของผู้บริหารระดับสูงและนัก “ธุรกิจการเมือง” ไม่กี่คนเท่านั้น
ฉากสุดท้ายของไอทีวี ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำคมประโยคหนึ่งที่ชอบมากๆ ว่า:
Responsibility is the price of freedom – ความรับผิดชอบ คือราคาของเสรีภาพ
ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะจ่าย ก็อย่าโวยวายเมื่อต้องสูญเสียเสรีภาพนั้นไป.
……
ขอปิดท้ายด้วยการแนะนำความเห็นเรื่องไอทีวีที่ชอบมากๆ จากบล็อกเกอร์สามคน:
- เสรีอำพรางภายใต้การเมืองลายพราง – มุมมองของคุณ golffee นักข่าวอาชีพ
- สมน้ำหน้า – มุมมองของคุณวุฒิชัย หนึ่งในนักเขียนคนโปรด โพสเรื่องนี้ในฐานะ “คนดู” ไอทีวี
- ไอทีวี – มุมมองของคุณ Etat de droit นักกฎหมายมหาชนไฟแรง
ชอบมากโดยเฉพาะตอนต่อไปนี้ (แม้จะไม่เห็นด้วย 100% ก็ตาม):
จากคุณ golffee:
“…บรรดาผู้ประกาศและนักข่าวไอทีวีอวดอ้างถึงศักยภาพของตน และเน้นให้เห็นถึงความมีจริยธรรมทางวิชาชีพอย่างสูง ไม่ยอมตกอยู่ใต้อิิทธิพลการเมืองใดทั้งสิ้น น่าเสียดายที่เขาและเธอเหล่านี้ ไม่ยื่นขอเรียกร้องเช่นว่าต่อผู้บริหารของตัวเอง ซึ่งพยายามนำพาองค์กรไปผูกพันกับการเมือง มีสหภาพแรงงานก็เหมือนกับไม่มี
นับแต่เริ่มแรกที่แข่งกันประมูลคลื่นในราคาสูง จนมาขอลดหย่อนค่าสัมปทานภายหลัง ตั้งแต่รัฐบาลประชาธิปัตย์ในสมัยที่เนชั่นยังมีบทบาท แต่ดูเหมือนจะไม่สำนึก พอกระแสลมการเมืองเปลี่ยนทิศทาง ก็รีบกระโจนเข้าหาหวังพึ่งพาใบบุญทักษิณ
คนไอทีวีเองก็หลงใหลได้ปลื้มกันเป็นการธุรกิจในเครือชินวัตร นอกเหนือจากเงินเดือนแล้ว ยังได้โปรโมชั่นโทรศัพท์มือถือพิเศษสำหรับตัวเองและญาติ ยามป่วยเจ็บได้รักษาในโรงพยาบาลชั้นดี ฯลฯ
แลกกับการเป็นกรมประชาสัมพันธ์แห่งที่สอง จนต้องจ่ายด้วยราคาแสนแพงกรณีกบฎไอทีวี
ผู้เขียนจึงรู้สึกว่าบรรดานักข่าวและผู้ประกาศที่เรียงหน้าพูด ถึงความชอบธรรมที่สถานีต้องไม่ถูกปิด อ้างเพียงแต่ความเป็นมืออาชีพและจริยธรรม เป็นการพูดแบบสำลักน้ำ พูดแบบไม่เต็มปาก เหมือนจะรู้ว่ามีคนร่วมวิชาชีพด้วยกัน “รู้ทันกัน” ฟังอยู่ด้วย
หากมีวิญญาณวิชาชีพสูงล้นจริง ทำไมตอนที่นักข่าวภาคสนามคัดค้านตัวแทนวิชาชีพเป็น สนช. (มีนายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์รวมด้วย) ถึงมีคนไอทีวีมาร่วมลงชื่อต้วยหนึ่งคน!!! ทั้งที่ประเด็นนี้ว่าด้วยหลักวิชาชีพโดยตรง ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์รายใด้ใดๆ ทั้งสิ้น คนอย่างกิตติ สิงหาปัด หรือจอม เพชรประดับหายไปไหน ทำไมไม่แสดงออกถึงมาตรฐานแห่งวิชาชีพตน
ฉะนั้น การยืนยันถึงคุณค่าของสถานีซึ่งจำต้องอาศัยอดีตของตนเอง จึงเป็นประวัติศาสตร์ที่แปลกประหลาด ทั้งที่มีอายุเป็นทศวรรษ แต่กลับย้อนไปเฉพาะเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2534 แล้วโดดข้ามมาหลัง 19 กันยายน 2549 เลย เห็นได้จากนัดหมายให้กำลังใจของ “กลุ่มพลเมืองภิวัฒน์”
ช่วงเวลาหกปีภายใต้รัฐบาลทักษิณและชินคอร์ป จึงเป็นอดีตที่อยากและยากจะลืมของนักข่าวและผู้ประกาศ และอาจรวมถึงสุภิญญาด้วย”
จากคุณวุฒิชัย (เขียนเมื่อเดือนธันวาคม 2549):
“…ผมไม่ได้เป็นพวกรอยัลลิสต์สุดโต่งนะครับ แต่ผมพยายามจะชี้ให้เห็นการพยายามยัดเยียดเนื้อหาห่วยๆ และการเอาเวลาอันมีค่าของทีวีเสรี ไปเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง โดยไม่ใส่ใจกับความต้องการของประชาชนเลย และไอทีวีมันทำแบบนี้มาตลอดช่วงหลายปี ตั้งแต่เครือชินคอร์ปฯ เข้าไปถือหุ้นใหญ่ โดยมีพวกบริษัทผู้ผลิตรายการบันเทิง อย่างไตรภพ ลิมปภัทร์ และกันตนาฯ เข้าไปร่วมถือหุ้นและเข้าไปแบ่งแชร์เวลาสถานี รวมไปถึงบริษัทฮาวทู ของลูกนายกฯ ก็เข้ามาร่วมวงกินกันอร่อยไปเลย
จากรายการข่าว จากรายการสารคดี จากรายการซีรีย์ญี่ปุ่น-เกาหลี มันเอาเวลามาทำเกมโชว์และละครของพวกมันเองกันหมด โดยไม่แยแสกับสัญญาที่ทำไว้กับรัฐ เพราะมันสามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ตามอำเภอใจอยู่แล้ว ทั้งเรื่องสัดส่วนผังรายการและเรื่องจำนวนเงินค่าสัมปทานที่มันต้องจ่าย และมันไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้จากค่าโฆษณาด้วย เพราะมันมี AIS เป็นสปอนเซอร์หลักให้กับทุกรายการ
นอกจากละครห่วยแล้ว ขอบ่นเรื่องเกมโชว์ห่วยๆ ของไอทีวีอีกสักหน่อยเถอะครับ มันเอาเวลาสถานีฟรีทีวีอันมีค่า ไปจัดเกมโชว์เพื่อให้แขกรับเชิญแข่งกันตอบ ว่ากับข้าวจานนี้ราคาเท่าไร ในช่วงตอนบ่ายของวันอาทิตย์ ส่วนช่วงเวลาหลังข่าวประมาณสามสี่ทุ่ม มันเอาไปจัดเกมโชว์แนววาไรตี้ มีพิธีกรผู้ชายคนนึง ผู้หญิงคนนึง และตลกคาเฟ่อีกคนนึง มาคอยเล่นแกล้งแขกรับเชิญของรายการแบบหยาบๆ คายๆ หรือถ้าแขกรับเชิญเป็นผู้หญิงสวยๆ มันก็เล่นลามกจกเปรต
พอหมดเบรค ตัดเข้าโฆษณา ก็แน่นอนว่ามีแต่โฆษณาของ AIS ทั้งนั้น แสดงให้เห็นว่า เครือชินคอร์ปฯ มันก็แค่ควักเงินจากกระเป๋าซ้าย มาใส่กระเป๋าขวา เอาเงินจากบริษัทมือถือของมัน มาจ่ายให้กับบริษัททีวีของมัน กลับไปกลับมาแบบนี้ สิ่งที่ประชาชนคนไทยได้รับจากไอทีวี ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คือรายการห่วยๆ ไร้สาระ และโฆษณาของ AIS ตลอดทั้งวันทั้งคืน ตลอดทั้งสัปดาห์ ตลอดทั้งเดือน ผมสงสัยว่านี่คือ หรือสถานีฟรีทีวีที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะตัดสินคดี ไอทีวีมันก็มีความพยายามที่จะแก้ตัวต่างๆ นานา แน่นอนว่ามันก็ใช้ประโยชน์จากเวลาของสถานีมันเองนี่แหละ แทบทุกช่วงเวลา มันยัดการสัมภาษณ์ผู้บริหาร ยัดข่าวการแก้ต่างของทนาย ยัดสกูปข่าวเกี่ยวกับผลงานไอทีวีในอดีต มาให้ประชาชนดูว่าพวกมันเองทำงานกันดีแค่ไหน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และพยายามทำให้ประชาชนเชื่อว่า ไอทีวีเป็นเหยื่อของรัฐบาลทหารที่เพิ่งปฏิวัติเจ้านายพวกมันไปหมาดๆ ผมดูแล้วอยากเอาเก้าอี้เขวี้ยงใส่ ผมไม่ได้เข้าข้างทหารนะครับ ตอนนี้ทหารมีอำนาจ มันกำลังเก็บกวาดเศษเดนที่หลงเหลือจากรัฐบาลเก่ากันอยู่ ผมก็เข้าใจ ทีใครทีมัน
ผมจึงรู้สึกสะใจเสียมากกว่า สมน้ำหน้าไอทีวีมัน โดนซะบ้าง พวกสื่อสวะ สื่อเทียมพวกนี้ เทียบกับช่องอื่นๆ แล้ว ไอทีวีมีแต่จะถอยหลังเข้าคลองตลอด ช่อง 9 ก็มีรายการดีๆ เกิดขึ้นเพียบ ถึงแม้ว่าผ.อ.จะถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กทักษิณ ช่อง 3 ก็ทันสมัยและมีละครชั้นดีทุกคืน ช่อง 7 ถึงแม้จะเต็มไปด้วยละครน้ำเน่า แต่เขาก็ลงทุนถ่ายทอดกีฬาและมีหนังฝรั่งดีๆ ให้ดู ละครจักรๆ วงศ์ๆ ตอนเช้าเสาร์อาทิตย์ก็ยังเข้าท่ากว่าละครไพร์มไทม์ของไอทีวีเสียอีก ช่อง 5 ก็ทำใจกันได้เพราะเป็นช่องทหาร ช่อง 11 ก็เป็นช่องรัฐบาลไป เหลือแต่ไอทีวีนี่แหละ ฝากบอกไปถึงไอ้พวกผู้จัดรายการเกมโชว์โง่ๆ และละครห่วยแตกของไอทีวีด้วยครับ ว่าไม่ต้องไปจัดรายการแบบนี้ทางช่องอื่นอีกนะครับ พวกบ.ก.ข่าวที่ชะเลียทักษิณด้วยครับ สาปส่ง พอกันที”
จากคุณ Etat de droit:
“…หากยืนยันว่าคำวินิจฉัยของอนุญาโตฯ ไม่ชอบจริง ข้อตกลงเรื่องให้ไอทีวีเพิ่มรายการบันเทิงได้ ไม่มีอยู่จริง และบอกว่าไอทีวีผิดสัญญาจริง จึงเรียกค่าปรับ ค่าปรับก็ควรนับตั้งแต่วันที่ศาลตัดสิน ไม่ใช่ย้อนหลังไป เพราะระหว่างที่ยังไม่มีคดีมาถึงศาล คู่สัญญาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าผิดสัญญา ก็ในเมื่อทั้งคู่ยินยอมให้ตั้งอนุญาโตฯและยอมผูกมัดตามที่อนุญาโตฯชี้ นี่เป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังอย่างหนึ่งซึ่งเป็นของถนัดของคณะรัฐประหารชุดนี้ในการปราบปรามศัตรู (เช่น คำสั่งมีผลย้อนหลังแบนผู้บริหารพรรคที่ถูกยุบ ๕ ปี)
…สปน ในฐานะคู่สัญญา หน้าด้านเป็นที่สุด ตนเองได้ตกลงกับไอทีวีให้เพิ่มรายการบันเทิงได้ แต่มาตอนนี้ เพียงเพราะว่ามีคณะรัฐประหารเข้ามา ก็รีบเรียกค่าปรับแบบมโหฬาร ทั้งๆ ที่ศาลปกครองก็ยืนยันว่าไม่เคยพูดเรื่องค่าปรับ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไรว่าคณะ รปห กะล้างบางอะไรก็ตามที่เป็นหรือเคยเป็นหรือสงสัยว่าจะเป็นของเครือข่ายทักษิณ”