เมื่อวานไปพูดสั้นๆ เรื่องจรรยาบรรณของสื่อพลเมืองในงาน YouFest (ดาวน์โหลด presentation สั้นๆ ได้ที่นี่ และดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยายของท่านอื่นได้ที่ หน้านี้ของงาน)
บรรยากาศในงานเป็นกันเอง สบายๆ ทุกคนออกมาแนะนำตัวสั้นๆ และพูดในหัวข้อที่ตัวเองสนใจ ฉะนั้นหัวข้อในงานจึงหลากหลายมาก ตั้งแต่ สื่อทางเลือก, podcast, TV on web, machinima (การสร้างหนังจากเกม), Social Network Analysis, ไปจนถึง การปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้, social bookmarking, และ e-commerce
แม้ว่าจะมีความเชี่ยวชาญและความสนใจแตกต่างกันมาก คิดว่าสองสิ่งที่ผู้ร่วมงานทุกคนมีเหมือนกันหมดคือ ความเชื่อมั่นในพลังของเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ว่าจะสามารถสร้างนักธุรกิจพันล้านและปรับเปลี่ยนสังคมไทยในทางที่ดีขึ้นได้ และทุกคนล้วนมีงานประจำหรืองานอดิเรกที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต ที่ตัวเองรักและยินดีทุ่มเทเวลาให้อย่างเต็มที่
กว่างานจะเลิกก็ปาเข้าไป 6 โมงกว่า แต่ไม่รู้สึกว่างานนี้ยาวเกินไปหรือน่าเบื่อ ดีใจที่มีโอกาสได้พบตัวเป็นๆ ของบล็อกเกอร์/โปรแกรมเมอร์/เว็บมาสเตอร์หลายท่านจากโลกออนไลน์ที่ติดตามผลงานมานาน ไม่ว่าจะเป็นคุณสหายสิกขาแห่งเว็บพลวัต, คุณ bact’ หนึ่งในบล็อกที่อ่านเป็นประจำ, คุณ hunt แห่ง Zickr! (เว็บ social bookmark ภาษาไทยที่แอบชื่นชมและใช้งานมาหลายเดือนโดยที่ไม่ได้ช่วย contribute อะไรเลย อายจัง), คุณ CJ หัวเรือใหญ่แห่ง FACT ที่กำลังรณรงค์เพื่อเสรีภาพของคนไทยบนอินเตอร์เน็ตแทนเราทุกคน รวมทั้งผู้อยู่เบื้องหลังเว็บไซต์ที่ชอบมากๆ สองแห่ง คือคุณพิสิต ผู้ดูแลวิกิพีเดียไทย และ อ. ธวัชชัย โปรแกรมเมอร์ระดับเทพผู้อยู่เบื้องหลังเว็บไซต์เพื่อการเรียนรู้ดีๆ อย่าง GotoKnow.org และ Learners.in.th
นอกจากนี้ ก็รู้สึกโชคดีที่ได้ทำความรู้จักกับหลายท่านที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่หลังจากคุยกันก็คิดว่าคงมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือแม้แต่ร่วมงานกันในอนาคต เพราะมีความสนใจคล้ายๆ กัน เช่น คุณ kangg แห่ง Siampod.com เล่าว่าอยากโปรโมท podcast ในแง่ที่เป็น “หนังสือออกเสียง” สำหรับคนตาบอด แต่ติดปัญหาลิขสิทธิ์/license และคุณสุนิตย์ แห่ง Thai Rural Network เครือข่าย NGO รุ่นใหม่ไฟแรงที่กำลังศึกษาโมเดลใหม่ๆ ในการระดมทุนสำหรับโครงการเพื่อสังคม
เมื่อวานไปพูดสั้นๆ เรื่องจรรยาบรรณของสื่อพลเมืองในงาน YouFest (ดาวน์โหลด presentation สั้นๆ ได้ที่นี่ และดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยายของท่านอื่นได้ที่ หน้านี้ของงาน)
บรรยากาศในงานเป็นกันเอง สบายๆ ทุกคนออกมาแนะนำตัวสั้นๆ และพูดในหัวข้อที่ตัวเองสนใจ ฉะนั้นหัวข้อในงานจึงหลากหลายมาก ตั้งแต่ สื่อทางเลือก, podcast, TV on web, machinima (การสร้างหนังจากเกม), Social Network Analysis, ไปจนถึง การปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้, social bookmarking, และ e-commerce
แม้ว่าจะมีความเชี่ยวชาญและความสนใจแตกต่างกันมาก คิดว่าสองสิ่งที่ผู้ร่วมงานทุกคนมีเหมือนกันหมดคือ ความเชื่อมั่นในพลังของเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ว่าจะสามารถสร้างนักธุรกิจพันล้านและปรับเปลี่ยนสังคมไทยในทางที่ดีขึ้นได้ และทุกคนล้วนมีงานประจำหรืองานอดิเรกที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต ที่ตัวเองรักและยินดีทุ่มเทเวลาให้อย่างเต็มที่
กว่างานจะเลิกก็ปาเข้าไป 6 โมงกว่า แต่ไม่รู้สึกว่างานนี้ยาวเกินไปหรือน่าเบื่อ ดีใจที่มีโอกาสได้พบตัวเป็นๆ ของบล็อกเกอร์/โปรแกรมเมอร์/เว็บมาสเตอร์หลายท่านจากโลกออนไลน์ที่ติดตามผลงานมานาน ไม่ว่าจะเป็นคุณสหายสิกขาแห่งเว็บพลวัต, คุณ bact’ หนึ่งในบล็อกที่อ่านเป็นประจำ, คุณ hunt แห่ง Zickr! (เว็บ social bookmark ภาษาไทยที่แอบชื่นชมและใช้งานมาหลายเดือนโดยที่ไม่ได้ช่วย contribute อะไรเลย อายจัง), คุณ CJ หัวเรือใหญ่แห่ง FACT ที่กำลังรณรงค์เพื่อเสรีภาพของคนไทยบนอินเตอร์เน็ตแทนเราทุกคน รวมทั้งผู้อยู่เบื้องหลังเว็บไซต์ที่ชอบมากๆ สองแห่ง คือคุณพิสิต ผู้ดูแลวิกิพีเดียไทย และ อ. ธวัชชัย โปรแกรมเมอร์ระดับเทพผู้อยู่เบื้องหลังเว็บไซต์เพื่อการเรียนรู้ดีๆ อย่าง GotoKnow.org และ Learners.in.th
นอกจากนี้ ก็รู้สึกโชคดีที่ได้ทำความรู้จักกับหลายท่านที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่หลังจากคุยกันก็คิดว่าคงมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือแม้แต่ร่วมงานกันในอนาคต เพราะมีความสนใจคล้ายๆ กัน เช่น คุณ kangg แห่ง Siampod.com เล่าว่าอยากโปรโมท podcast ในแง่ที่เป็น “หนังสือออกเสียง” สำหรับคนตาบอด แต่ติดปัญหาลิขสิทธิ์/license และคุณสุนิตย์ แห่ง Thai Rural Network เครือข่าย NGO รุ่นใหม่ไฟแรงที่กำลังศึกษาโมเดลใหม่ๆ ในการระดมทุนสำหรับโครงการเพื่อสังคม
ต้องขอขอบคุณคณะผู้จัดงาน – คุณ mk, คุณกานต์, คุณสุนิต, และคุณ bact’ ที่ทำให้เรามีโอกาสเจอกัน หวังว่างาน YouFest จะมีต่อไปเรื่อยๆ 🙂
สำหรับเรื่องที่ผู้เขียน(กระแดะ)ไปพูดในงาน ออกตัวก่อนพูดว่าเรื่องจรรยาบรรณนี้เป็นความเห็นส่วนตัว และคิดว่าตัวเองก็ยังทำไม่ได้ทุกข้อ หลังจากพูดไปแล้วมานั่งคิดๆ ดู ก็รู้สึกว่าอธิบายเรื่อง “ความเป็นกลาง” ไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเพราะความคิดตัวเองอาจแตกต่างจากที่คนส่วนใหญ่คิด ก็เลยคิดว่าเขียนขยายความไว้ในบล็อกนี้น่าจะดี:
“ความเป็นกลาง” ของสื่อพลเมือง
ผู้เขียนคิดว่า ความคาดหวังของสังคมที่จะให้สื่อทำงานอย่าง “เป็นกลาง” ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากๆ และก็จะทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เพราะในความเป็นจริง ข่าวทุกชิ้นเขียนโดยมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ที่ย่อมมีทัศนคติ ความคิด และความเห็นเป็นของตัวเอง ข่าวที่คนเขียนจึงย่อมมีส่วนที่เป็น “อัตวิสัย” (subjective) อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งถ้าไม่สะท้อนออกมาโดยตรงในเนื้อข่าว ก็โดยทางอ้อม เช่น ผ่านการตัดสินใจของนักข่าวว่าจะไปสัมภาษณ์ใครและไม่สัมภาษณ์ใครในการเขียนข่าวแต่ละชิ้น
ดังนั้น แม้ว่าปกติส่วนของข่าวที่เป็นอัตวิสัยจะเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ถูกสัมภาษณ์ ไม่ใช่ของนักข่าวเอง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “น้ำหนัก” ของส่วนที่เป็นอัตวิสัยนั้นมีผลต่อข่าวทั้งชิ้น ซึ่งจะทำให้คนอ่านมองว่านักข่าว “เป็นกลาง” หรือไม่ขนาดไหน
ทีนี้ปัญหาคือ หลายครั้ง เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งมี “บทสรุป” ที่มีเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ความพยายามของนักข่าวที่จะ “เป็นกลาง” ด้วยการเสนอมุมมองต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน จึงอาจทำไม่สำเร็จ (เพราะบทสรุปนั้นชัดเจนจนหาคนไม่เห็นด้วยไม่ได้ เช่น ผู้ชายคนนี้คอร์รัปชั่นแน่ๆ ฯลฯ) หรือถ้าสำเร็จ ก็อาจทำให้คนอ่านเข้าใจผิด เพราะคนที่ไม่เห็นด้วยกับบทสรุป (ที่มีเหตุผล) ที่นักข่าวอุตส่าห์ไปหาตัวจนเจอนั้น อาจเป็นคนไร้เหตุผล ไม่เข้าใจประเด็นดีพอ หรือตีความผิดก็ได้ แต่เนื่องจากนักข่าวต้องการให้พื้นที่ “ความเห็นต่าง”อย่างเท่าเทียมกัน ก็อาจทำให้คนอ่านคิดว่าคนเห็นด้วย (ซึ่งมีเหตุผล) กับคนไม่เห็นด้วย (ซึ่งไม่มีเหตุผล) นั้นมีจำนวนเท่าๆ กัน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงอาจมีสัดส่วนสูงถึง 90:10 ก็ได้
นี่เป็นหนึ่งใน reporter bias ที่อาจารย์วิชาสถิติชอบพูดถึงสมัยเรียนหนังสือ
ดังนั้น นักข่าวที่ดีจึงควรมีความสามารถในการตีความและวิเคราะห์ข้อเท็จจริงระดับหนึ่ง ก่อนที่จะไปสัมภาษณ์ใครมาเขียนข่าว (เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาควานหา “คนไม่เห็นด้วย” ที่ไร้เหตุผล สำหรับประเด็นที่มีข้อสรุปชัดเจนทางใดทางหนึ่ง) แต่เรื่องนี้คงเป็นปัญหาไปอีกนานในประเทศไทย เพราะลำพังการ “รายงานข้อมูลที่ถูกต้อง” ก็ยังเป็นเรื่องยาก(หรือไม่อยากทำ)สำหรับหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
นักข่าวไทยชอบทำข่าวแบบ “เล่นปิงปอง” คือไปถามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ก. แล้วเอาคำตอบไปถามผู้เชี่ยวชาญ ข. ที่รู้ว่าอยู่คนละข้างกับ ก. หรือมีจุดยืนไม่เหมือนกัน เสร็จแล้วก็เอาคำตอบของ ข. ไปถาม ก. กลับ หรือไปถาม ค. ต่อ เป็นแบบนี้จนกว่าจะเขียนข่าวได้
เขียนข่าวแบบนี้ไม่ยาก เพราะนักข่าวไม่ต้องวิเคราะห์คำตอบเอง แค่ถอดเทปอย่างเดียว แต่ปัญหาของวิธีนี้คือ ถ้า ก. ข. หรือ ค. รู้ไม่จริงในประเด็นที่ตนให้ข่าว หรือมีอคติ หรือใช้เหตุผลผิดๆ ในการสรุปประเด็น ข่าวนั้นก็จะอาจออกมาผิดพลาดหรือลำเอียง ทำให้คนอ่านพลอยคิดว่าสื่อ “ไม่เป็นกลาง” ไปด้วย
จากปัญหาและข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่กล่าวไปแล้ว กอปรกับข้อเท็จจริงที่ว่า สื่อทุกสื่อล้วนมี “เจ้าของ” (ไม่มี “สื่อแท้” หรือ “สื่อเทียม” หรอก – มีแต่ “สื่อที่ทำหน้าที่ได้ดี” กับ “สื่อที่ทำหน้าที่ไม่ดี” เท่านั้น) ตลอดจนความจริงในโลกปัจจุบันที่ว่า ประเด็นต่างๆ ในแวดวงเศรษฐกิจและสังคมที่ “เป็นข่าว” นั้นบ่อยครั้งมีความสลับซับซ้อน ไม่ได้ประกอบด้วย “ข้อเท็จจริง” ล้วนๆ เหมือนข่าวอาชญากรรมรายวัน (เช่น นาย ก. โดดตึกตาย หรือนาง ข. ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่) หากเป็น “ความเห็น” เกี่ยวกับ “ผลกระทบ” ของข้อเท็จจริง หรือ “สิ่งที่น่าจะเกิดในอนาคต” ที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์ ตีความ และสังเคราะห์มากมาย เช่น ผลกระทบจากนโยบายควบคุมทุนไหลเข้าของ ธปท. แปลว่าแทบเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้เลย ที่นักข่าวจะรายงานข่าวได้อย่าง “เป็นกลาง” จริงๆ
ขนาดในอเมริกา ประเทศที่หลายคนยกย่องว่าสื่อมีความสามารถสูง งานวิจัยหลายฉบับ เช่นของมหาวิทยาลัย UCLA ก็พบว่าสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่มี bias ไม่เอียงซ้ายก็เอียงขวา
ในเมื่อ “สื่อกระแสหลัก” ยังเป็นกลางไม่ค่อยได้ แล้วบล็อกเกอร์ที่อยากทำตัวเป็นสื่อพลเมืองล่ะ จะทำได้ขนาดไหน?
สู้นิยาม “ความเป็นกลาง” ว่าเป็น “การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีเหตุผล” (objective data analysis) แทนที่จะเป็น “การให้น้ำหนักทุกข้อสรุปอย่างเท่าเทียมกัน” (equal treatment of conclusions) ไม่ดีกว่าหรือ?
เนื่องจากโดยธรรมชาติ บล็อกเกอร์เป็นคนธรรมดาๆ ที่เวลาเขียน “ข่าว” ในบล็อกจะมีแนวโน้มอ้างอิงถึงประสบการณ์ส่วนตัวมากกว่า (คือเป็นทั้ง “คนให้ข่าว” และ “คนเขียนข่าว” ในเวลาเดียวกัน) บล็อกที่เป็นสื่อพลเมืองจึงน่าจะมีลักษณะเป็นกึ่งบทบรรณาธิการ/ความเห็น (op-ed/opinion piece) กึ่งการรายงานข่าว (news) มากกว่าจะเป็นแบบใดแบบหนึ่งไปเลย
จุดนี้จึงทำให้ผู้เขียนคิดว่า ความ “ซื่อสัตย์” ต่อข้อเท็จจริง และการใช้หรืออ้างอิงแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (primary source) จึงน่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญสำหรับสื่อพลเมือง มากกว่าความพยายามที่จะเสนอข่าวอย่าง “เป็นกลาง” โดยปราศจากการฟันธง หรือจุดยืนใดๆ ทั้งสิ้น
ตราบใดที่สื่อพลเมืองใช้และวิเคราะห์ข้อมูลอย่าง “เป็นกลาง” คือใช้เหตุผลและหลักวิชาโดยปราศจากอคติ และเปิดเผยให้คนอ่านรับทราบว่าเอาข้อมูลมาจากไหน อย่างน้อยคนอ่านก็จะสามารถแยกแยะระหว่าง “ความจริง” และ “ความเห็น” ได้ และตัดสินใจได้เองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อบทสรุปหรือความเห็นของคนเขียน
……
ในงานมีการเล่น blog tag แบบ off-line (เดินมาแปะ) ให้คนรู้จักกัน เนื่องจากผู้เขียนโดน tag โดยคุณสุนิตย์, คุณ hunt, คุณสาธิต “อ. ทร”, คุณเก่ง (Keng.com), คุณหน่อย SNC, อ. ธวัชชัย, คุณปอง (Jakrapong.com), และคุณนิ้ว ก็เลยคิดว่าเพื่อรักษาสปิริตของเกม ก็น่าจะมาเล่น blog tag ในบล็อกนี้ต่อ แต่จะไม่ขอ tag ใครแล้ว เพราะคิดว่าตอนนี้บล็อกเกอร์ทุกคนในประเทศไทยน่าจะโดน tag กันไปครบแล้ว 😛
อีก 5 ข้อ เกี่ยวกับคนชายขอบ ที่คุณไม่น่าจะรู้ (aka มหกรรมเผาตัวเองภาค 2 ต่อจากภาคแรก):
- เป็นเด็กที่ซนมากๆ จนถูกแม่หยิกเป็นประจำ แต่ไม่ชอบง้อใคร เวลาถูกแม่ดุสมัยประถมจะชอบหนีไปปีนต้นมะม่วงหลังบ้าน ซ่อนตัวจนดึกถึงลักลอบกลับเข้าห้อง (ทั้งๆ ที่ร้อนก็ร้อน ยุงก็ชุม กลัวงูก็กลัว ทำแบบนั้นไปทำไม(ฟะ))
- ตรารับประกันความซนที่ภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้คือ อาจารย์ที่โรงเรียนสมัยอยู่มัธยมสองบอกว่า เราเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนที่ได้รับรางวัลเรียนดี แต่ไม่ได้รับรางวัลประพฤติดีควบคู่ไปด้วย เพราะอาจารย์ตัดใจให้ไม่ได้จริงๆ (ปกตินักเรียนจะได้สองรางวัลนี้คู่กัน) ตอนนั้นพ่อแม่คงอายผู้ปกครองคนอื่นเหมือนกัน เพราะปีนั้นมีคนได้รางวัลเรียนดีตั้ง 7 คน (รวมทั้งเราด้วย) แต่เวลาประกาศรางวัลประพฤติดีกลับไม่มีชื่อเรา หึๆ
- ตอนเด็กๆ ชอบดมหนังสือเพราะรู้สึกว่ากระดาษมันหอมดี จนแม่ตกใจนึกว่าติด (คงนึกว่าติดได้ เหมือนดมกาวมั๊ง) แถมยังหวงหนังสือมากๆ ถึงขนาดไม่ยอมให้น้องยืม พอโตแล้วนิสัยนี้ก็เปลี่ยนเป็นอีกข้าง คือชอบให้คนยืมหนังสือที่ตัวเองชอบ ทำยับขนาดไหนก็ไม่เป็นไร ขอให้อ่าน เคยถึงขนาดซื้อหนังสือเรื่องเดียวกัน 2 เล่ม เล่มนึงไว้ให้คนอื่นยืม อีกเล่มเอาไว้เก็บขึ้นหิ้ง (สงสัยจิตใต้สำนึกจะพยายามไถ่บาปที่เห็นแก่ตัวตอนเด็กๆ)
- ร้องไห้นับครั้งได้ตั้งแต่โตมา แต่เวลาดูหนังหรืออ่านหนังสือชอบร้องไห้ตอนที่คนอื่นเขาไม่ร้องกัน (อาจเป็นพวกความรู้สึกช้า) ปีแรกที่พ่อแม่ส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่อเมริกา (อายุประมาณ 15) ไม่ร้องไห้คิดถึงบ้านเลยซักแอะ อยู่ดีๆ ก็ดันมาร้องเอาตอนวันสุดท้ายของเทอม ขณะที่ทุกคนกำลังดีใจเก็บของกลับบ้าน เล่นเอาครูที่ปรึกษาและรุ่นพี่หลายๆ คนเป็นห่วง คงนึกว่าพ่อแม่เราเป็นพวกโรคจิตชอบทุบตีลูกๆ เราถึงร้องไห้เพราะไม่อยากกลับบ้าน!
- นอกจากจะเป็นคนพูดมากและพูดเร็วมาตั้งแต่เด็ก ยังเป็นคนชอบสะเออะใช้สำนวนฝรั่งในวงสนทนา ทั้งๆ ที่พูดไม่ค่อยเป็น สมัยอยู่โรงเรียนประจำ เคยตอบคำถามรุ่นพี่ว่า “okay cigarette” เพราะนึกว่าเป็นสำนวนอเมริกันแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ รุ่นพี่คนนั้นทำท่าตกใจแล้วก็สั่งสอนเราใหญ่เลย เพราะนึกว่าเราขอบุหรี่! (ที่โรงเรียนห้ามสูบ และร้านค้าก็ไม่ขายบุหรี่ให้เด็กอยู่แล้ว) เรื่องเฉิ่มๆ ทำนองนี้มีอีกเยอะ เช่น วันหนึ่งขณะทำข้อสอบอยู่ หันไปขอยางลบคนนั่งข้างๆ ด้วยคำว่า “rubber” ทำเอาเพื่อนตกใจเพราะนึกว่าเราขอถุงยาง! (“ยางลบ” ในสำนวนอังกฤษแบบอเมริกันคือ “eraser” แต่เราไม่รู้ เพราะโรงเรียนที่เมืองไทยสอนภาษาอังกฤษสำนวนอังกฤษ ไม่ใช่อเมริกัน)
คนที่ผู้เขียน tag off-line ในงาน: คุณ kangg, คุณ mk, คุณสุนิตย์, คุณ hunt และ อ. จันทวรรณ แห่ง GotoKnow.org – ยิีนดีที่ได้รู้จักทุกๆ ท่านนะคะ 🙂