จาก กรุงเทพธุรกิจ 15 กุมภาพันธ์ 2549:
ถึงนายกฯ ไม่ใช่ทักษิณ เศรษฐกิจไทยก็ยังไปได้ดี
วิทยากร เชียงกูล คณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
สิ่งที่รัฐบาลนี้เก่งที่สุด คือ การสร้างภาพให้ประชาชน เชื่อว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เก่งกว่าใคร ถ้าเขาไม่ได้เป็นนายกฯ เศรษฐกิจจะแย่ลง ทั้งที่ทัศนคตินี้เป็นเพียงความเชื่อที่อยู่บนปรากฏการณ์ผิวเผิน ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
นโยบายเศรษฐกิจแบบทักษิณ เน้นกระตุ้นการใช้จ่ายของทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยการกู้เงิน ออกพันธบัตร (เอาเงินอนาคตมาใช้) ขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ และใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ (ให้ธนาคารรัฐปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น) เร่งรัดเปิดเสรีการลงทุนและการค้ากับต่างประเทศ บวกกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา จึงกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตได้ราวปีละ 4-5%
แต่เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตเฉพาะส่วน ที่คนบางกลุ่มได้กำไรสูงมาก ไม่ได้แปลว่าทุกคนรวยขึ้นปีละ 4-5% เท่ากัน ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตของการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ โทรศัพท์มือถือ เหล้า เบียร์ ของคนรวย คนชั้นกลางและประชาชนที่เป็นหนี้ และมาจากกำไรการลงทุน และการบริโภคของนายทุนต่างชาติ และนายทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มรัฐบาลและพรรคพวก กลุ่มส่งออก สั่งเข้า หรือขายสินค้าที่คนชอบซื้อได้ แต่ภาคเกษตรที่คนไทยส่วนใหญ่ดำรงชีพอยู่เป็นสัดส่วนที่ต่ำ
ที่ว่าเศรษฐกิจดียังมีส่วนสำคัญมาจากรัฐบาลใช้อำนาจการเมืองเอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกราว 10 ตระกูล ทำกำไรนับแสนล้านบาท ธนาคารและธุรกิจขนาดใหญ่ถูกต่างชาติและทุนใหญ่ครอบงำมากขึ้น ประเทศเริ่มขาดดุลการค้า เพราะโครงสร้างสินค้าส่งออกแบบประกอบชิ้นส่วน เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ ต้องสั่งเข้าวัตถุดิบ น้ำมัน เครื่องจักร มากเป็นเงาตามตัว คนส่วนน้อยรวยขึ้น คนส่วนใหญ่จนลง ความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ประชาชนเป็นหนี้มากขึ้น รัฐบาลก็ยังเป็นหนี้มาก แต่เปลี่ยนจากหนี้ต่างประเทศเป็นหนี้ภายในประเทศ อัตราคนว่างงานและทำงานต่ำกว่าระดับยังคงสูง คนที่มีงานส่วนใหญ่ก็ได้ค่าตอบแทนต่ำ เมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น เพราะเศรษฐกิจยุคทักษิณผูกพันกับน้ำมันและการบริโภคสินค้านำเข้า
จาก กรุงเทพธุรกิจ 15 กุมภาพันธ์ 2549:
ถึงนายกฯ ไม่ใช่ทักษิณ เศรษฐกิจไทยก็ยังไปได้ดี
วิทยากร เชียงกูล คณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
สิ่งที่รัฐบาลนี้เก่งที่สุด คือ การสร้างภาพให้ประชาชน เชื่อว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เก่งกว่าใคร ถ้าเขาไม่ได้เป็นนายกฯ เศรษฐกิจจะแย่ลง ทั้งที่ทัศนคตินี้เป็นเพียงความเชื่อที่อยู่บนปรากฏการณ์ผิวเผิน ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
นโยบายเศรษฐกิจแบบทักษิณ เน้นกระตุ้นการใช้จ่ายของทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยการกู้เงิน ออกพันธบัตร (เอาเงินอนาคตมาใช้) ขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ และใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ (ให้ธนาคารรัฐปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น) เร่งรัดเปิดเสรีการลงทุนและการค้ากับต่างประเทศ บวกกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา จึงกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตได้ราวปีละ 4-5%
แต่เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตเฉพาะส่วน ที่คนบางกลุ่มได้กำไรสูงมาก ไม่ได้แปลว่าทุกคนรวยขึ้นปีละ 4-5% เท่ากัน ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตของการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ โทรศัพท์มือถือ เหล้า เบียร์ ของคนรวย คนชั้นกลางและประชาชนที่เป็นหนี้ และมาจากกำไรการลงทุน และการบริโภคของนายทุนต่างชาติ และนายทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มรัฐบาลและพรรคพวก กลุ่มส่งออก สั่งเข้า หรือขายสินค้าที่คนชอบซื้อได้ แต่ภาคเกษตรที่คนไทยส่วนใหญ่ดำรงชีพอยู่เป็นสัดส่วนที่ต่ำ
ที่ว่าเศรษฐกิจดียังมีส่วนสำคัญมาจากรัฐบาลใช้อำนาจการเมืองเอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกราว 10 ตระกูล ทำกำไรนับแสนล้านบาท ธนาคารและธุรกิจขนาดใหญ่ถูกต่างชาติและทุนใหญ่ครอบงำมากขึ้น ประเทศเริ่มขาดดุลการค้า เพราะโครงสร้างสินค้าส่งออกแบบประกอบชิ้นส่วน เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ ต้องสั่งเข้าวัตถุดิบ น้ำมัน เครื่องจักร มากเป็นเงาตามตัว คนส่วนน้อยรวยขึ้น คนส่วนใหญ่จนลง ความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ประชาชนเป็นหนี้มากขึ้น รัฐบาลก็ยังเป็นหนี้มาก แต่เปลี่ยนจากหนี้ต่างประเทศเป็นหนี้ภายในประเทศ อัตราคนว่างงานและทำงานต่ำกว่าระดับยังคงสูง คนที่มีงานส่วนใหญ่ก็ได้ค่าตอบแทนต่ำ เมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น เพราะเศรษฐกิจยุคทักษิณผูกพันกับน้ำมันและการบริโภคสินค้านำเข้า
การเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคทักษิณ ยังได้มาด้วยการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และขายทรัพย์สมบัติของชาติ (เช่น การปิโตรเลียม) ให้เป็นของเอกชนส่วนน้อย นโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ก็คือการแปลงทรัพยากรให้เป็นหนี้ เน้นแต่เรื่องค้าหากำไรและบริโภคของเอกชนแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา นักการเมืองหาผลประโยชน์ทับซ้อน และยังเลี่ยงการเสียภาษีสุดๆ
ขณะที่ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม วิถีชีวิต จริยธรรม ค่านิยมที่ดีงามของประชาชนถูกทำลาย เพียงเพื่อการหากำไรสูงสุด เอกชนที่เป็นคนส่วนน้อยได้เปรียบ ประชาชนส่วนใหญ่ขาดทุน และประเทศชาติขาดทุนทางสังคมอย่างรุนแรงยิ่งกว่าครั้งใด
ประชาชนส่วนหนึ่งยังเชื่อแบบง่ายๆ ว่าถึงรัฐบาลนี้จะโกงบ้าง แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่าชุดก่อน แต่ความจริงคือการหาผลประโยชน์ทับซ้อนในยุคนี้มีขนาดใหญ่มาก ชนิดที่ทำให้เกิดผูกขาดและเหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจที่เติบโตเป็นแบบฉาบฉวยและระยะสั้น แต่ระยะยาวจะแย่ลง เพราะระบบผูกขาด และหาผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ส่งเสริมการแข่งขัน เศรษฐกิจไทยโดยรวมจะยิ่งอ่อนแอและแข่งขันสู้ต่างประเทศได้ยากขึ้น
รัฐบาลทักษิณหมุนเงิน (ของประชาชน) ให้ประชาชนชั้นล่างกู้เงินได้มากกว่ารัฐบาลชุดก่อนก็จริง แต่ก็เป็นการหาเสียงเพื่อประโยชน์การเมือง และการดึงให้ประชาชนเข้ามาสู่ระบบทุนนิยมที่เน้นบริโภค โดยไม่ได้พัฒนาการศึกษา สื่อสารมวลชน และชุมชน เพื่อช่วยให้ประชาชนมีความรู้ มีการรวมกลุ่ม มีความสามารถบริหารจัดการและสร้างอำนาจต่อรอง
กลุ่มที่เก่ง ทำผลิตภัณฑ์ 1 ตำบลได้ดีมีอยู่ไม่เกิน 10% มักจะถูกธุรกิจเอกชนแทรกเข้าไปเป็นเจ้าของมากกว่าจะเป็นกิจการของวิสาหกิจชุมชน หรือสหกรณ์ที่ประชาชนถือหุ้น ดังนั้น ภาคผลิตระดับรากหญ้า ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางไม่เข้มแข็ง ขณะที่ภาคการค้า บริการ อุตสาหกรรม ถูกครอบงำโดยนายทุนผูกขาดที่มุ่งหากำไรระยะสั้น มากกว่าพัฒนาตลาดภายในประเทศให้เติบโตได้ยั่งยืน
คุณทักษิณ เป็นเพียงพ่อค้านักธุรกิจที่เก่งในเรื่องการค้าเพื่อประโยชน์ระยะสั้น ไม่เข้าใจและไม่สนใจเรื่องพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวม หรือพัฒนาคนส่วนใหญ่ให้เข้มแข็ง เช่น ไม่เข้าใจว่าคนจนเพราะระบบโครงสร้างเศรษฐกิจ ขายผลผลิตถูก แต่ต้องซื้อปัจจัยผลิตแพง ไม่ได้เป็นเจ้าของ หรือผู้ควบคุมปัจจัยผลิต ทางแก้ต้องปฏิรูปที่ดิน ระบบตลาด ภาษี ต้องขยายความรู้ และอำนาจต่อรองของคนจน ไม่ใช่แค่ปล่อยเงินให้คนจนกู้และบริโภคเพิ่มขึ้น
คุณทักษิณคิดจากตัวเองแบบว่าคนจน เพราะขาดเงิน ถ้าให้กู้ไปลงทุนแล้ว ทุกคนก็จะมีกำไร หลุดพ้นความยากจนได้ทุกคน ทั้งที่ในโครงสร้างทุนนิยมผูกขาดที่ด้อยพัฒนาแบบนี้ คนส่วนใหญ่มีโอกาสขาดทุน จนลง มากกว่าจะได้กำไร นอกเสียจากจะต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองขนานใหญ่ ให้เกิดระบบการแข่งขันที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพเสียก่อน
การที่คุณทักษิณทำให้เศรษฐกิจโต ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าใช้มาตรการกระตุ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยสมัยใหม่กำลังการผลิตที่แท้จริงอยู่ที่ภาคอุตสาหกรรม เกษตร การค้า บริการ ของธุรกิจเอกชน เป็นส่วนใหญ่ แต่ขึ้นอยู่กับการช่วยกระตุ้นของรัฐเพียงส่วนหนึ่ง เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำไปก็มักค่อยๆ ฟื้นตัวได้ตามวัฏจักรขึ้นๆ ลงๆ และตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้น คนที่เชื่อว่าจะไม่มีใครมาแทนคุณทักษิณได้ในเรื่องพัฒนาเศรษฐกิจไทย จึงเชื่ออย่างผิดๆ
สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ปี 2523-2531 ก็ไม่ได้รู้เรื่องเศรษฐกิจมากนัก แต่ท่านเป็นคนซื่อตรง รับฟังคนอื่น รู้จักเลือกใช้คน จึงนำพาประเทศให้เติบโตในอัตราสูงกว่ายุคคุณทักษิณด้วย ที่สำคัญนโยบายเศรษฐกิจยุคนั้นไม่กอบโกย ไม่สุ่มเสี่ยงมาก จนจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมมีแนวโน้มเสียหายในระยะยาว
แทนที่จะคิดว่าใครจะมาแทนคุณทักษิณได้ ควรเริ่มจากการคิดว่ามีนโยบายอะไร ที่จะดีกว่านโยบายแบบทักษิณที่ทำให้เศรษฐกิจโตแบบฉาบฉวย และกลายเป็นทุนนิยมผูกขาด แบบบริวารต่างชาติเพิ่มขึ้น และคนส่วนใหญ่จะลำบากมากขึ้น นโยบายที่ดีกว่านโยบายแบบทักษิณ คือการผสมผสานของแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ให้ทันสมัย ระบบสหกรณ์ และทุนนิยมที่ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม แทนผูกขาดหรือพึ่งพาต่างชาติ นโยบายใหม่จะสามารถพัฒนาตลาดในประเทศ ที่มีประชากร 64 ล้านคนให้เข้มแข็งได้มากกว่านี้
แนวนโยบายเศรษฐกิจแบบทักษิณ ทำให้เศรษฐกิจโตแต่เปลือกนอก ทรัพยากรและแรงงานกลับตกอยู่ใต้การครอบงำของทุนต่างชาติ และทุนผูกขาดขนาดใหญ่ ที่ทำลายทั้งทรัพยากร จริยธรรม และศีลธรรม อย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ซึ่งจะนำประเทศไทยไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่รุนแรงกว้างขวางถึงประชาชนระดับกลางและระดับล่าง และทำให้ไทยเป็นประเทศเมืองขึ้นสมัยใหม่
แม้แต่คนชั้นกลางที่คิดว่าจะยังไปได้ดีในตอนนี้ ก็จะถูกเบียดขับมากขึ้น คนส่วนใหญ่ที่ยากจนจะว่างงาน คนมีงานต้องทำงานหนักได้ค่าตอบแทนต่ำรัฐบาลและประชาชนต้องใช้หนี้มากขึ้น บริการการศึกษา สาธารณสุข สาธารณูปโภคจะแพงขึ้น คนไทยส่วนใหญ่จะต้องแก่งแย่งกันเพื่อเอาตัวรอด และมีชีวิตยากลำบาก
นโยบายที่ดีกว่านโยบายแบบทักษิณ คือ แนวนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจแบบพอเพียง ระบบสหกรณ์ และทุนนิยมที่มีการแข่งขันเป็นธรรม ระบบรัฐสวัสดิการที่เก็บภาษีอัตราก้าวหน้าและมีระบบประกันสังคมที่ดี คนที่เข้าใจนโยบายทางเลือกใหม่นี้ ก็สามารถเป็นผู้นำได้ดีกว่าคุณทักษิณ