บันทึก EISENHOWER FELLOWSHIP 2013 (13)

highline.jpg

(บันทึกก่อนหน้า: ปฏิทินการเดินทางวันที่ 1 & 2วันที่สามวันที่สี่วันที่ห้าวันที่หกวันที่ 7 & 8วันที่เก้าวันที่สิบวันที่สิบเอ็ดวันที่สิบสองวันที่สิบสาม, วันที่สิบสี่)

วันที่สิบห้า

นิวยอร์ก ซิตี้ : 13/10/2013

โปรแกรมกินของ Eating Fellowship ยังคงดำเนินต่อไป แต่ก่อนได้เวลากินคือเวลาเที่ยว 🙂

เช้านี้เอลิซาพาพวกเราสามคน (ผู้เขียน พี่ก็ และเมเกน) ไปเดินเที่ยว High Line “สวนสาธารณะลอยฟ้า” ของนิวยอร์ก เอารางรถไฟลอยฟ้ายาวกว่าสองกิโลเมตรที่เคยใช้สำหรับรถไฟบรรทุกสินค้ามาถมปูน ปลูกต้นไม้ สร้างม้านั่งตลอดสาย แปลงเป็นสวนสาธารณะในเมือง

รางรถไฟลอยฟ้า High Line สร้างในทศวรรษ 1930 เพื่อแก้ปัญหาอุบัติเหตุรถไฟวิ่งชนคนและชนสัตว์ซึ่งเกิดเป็นประจำในเขตอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของนิวยอร์กทางตะวันตกของเมือง (เรียกว่าเขต “meatpacking” เพราะสมัยก่อนเป็นถิ่นโรงฆ่าสัตว์) โดยยกรางขึ้นสูง 9 เมตรเหนือหัว หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 การใช้รถบรรทุกวิ่งระหว่างมลรัฐได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ การขนส่งโดยรางรถไฟนี้ก็เริ่มหมดความนิยม ไม่มีรถไฟวิ่งแล้วตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา เจ้าของที่ดินใต้รางบางคนเริ่มไปล็อบบี้ให้เทศบาลนิวยอร์กทุบรางทิ้งทั้งสาย แต่หลายคนไม่เห็นด้วย คนที่อยู่แถวนั้นหลายคน นำโดย โจชัว เดวิด (Joshua David) และ โรเบิร์ต แฮมมอนด์ (Robert Hammond) ก่อตั้งกลุ่มไม่แสวงกำไรชื่อ “Friends of the Highline” ในปี 1999 เมื่อเทศบาลประกาศแผนที่จะทุบทิ้ง กลุ่มนี้ไปเสนอว่าอยากให้อนุรักษ์ High Line และแปลงมันเป็นสวนสาธารณะลอยฟ้า องค์กรไม่แสวงกำไรชื่อ Design Trust ซึ่งทำงานเรื่องพื้นที่สาธารณะในนิวยอร์กช่วยหาทุน ติดต่อสถาปนิกมาออกแบบ จากนั้นในปี 2002 เทศบาลนิวยอร์กก็เห็นด้วยกับข้อเสนอ เริ่มก่อสร้างจริงในปี 2006 เปิดช่วงแรกในปี 2009 และช่วงที่สองในปี 2011 มีแผนระดมทุนเพื่อเปิดช่วงที่สามเป็นช่วงสุดท้ายในอนาคต

ที่ผู้เขียนเล่าประวัติศาสตร์ของ High Line ให้ฟัง เพราะอยากให้เห็นว่าไอเดียดีๆ ที่จะอยู่ไปชั่วลูกชั่วหลานต้องใช้เวลากว่า 10 ปีเลยทีเดียวกว่าจะเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ในเมืองไทยก็มีคนคิดอะไรดีๆ แบบนี้ อย่างกลุ่มอยากให้มักกะสันเป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์ ซึ่งก็ทำงานมาข้ามปีเหมือนกัน หวังว่าเขาจะไม่ท้อแท้ไปเสียก่อน

High Line 1

High Line 2  

ผู้เขียนชอบ High Line มาก เพราะนอกจากจะไอเดียดี มีจุดพักชมวิว (ตึกระฟ้าข้างทาง และถนนในเมืองนิวยอร์กข้างล่าง) หลายจุด ยังมีม้านั่งตลอดทั้งสาย เอื้ออาทรกับคนเข่าไม่ดีให้ได้นั่งพักตลอดเวลา 🙂 ม้านั่งมีหลายแบบ เห็นชัดว่าตั้งใจออกแบบมาให้ดูกลมกลืนกับทางเดิน ดูเหมือนมัน “งอก” ออกมาจากพื้นดิน (ดูรูปด้านบน) นอกจากนี้ยังมีงานศิลปะแสดงเป็นระยะๆ สองข้างทางเดินและบนผนังตึกที่มองเห็นจากข้างบน

High Line 3

ตอนนี้นิทรรศการศิลปะบน High Line คือ “Busted” แสดงรูปปั้นจากศิลปินสมัยใหม่ที่ ‘เล่น’ กับประเพณีการสร้างอนุสาวรีย์ในพื้นที่สาธารณะ เล่นกับความคาดหวังของคนที่คิดว่าจะได้เห็นแต่ “วีรบุรุษ” ในโมงยามแห่งชัยชนะเท่านั้นที่จะกลายเป็นรูปปั้น ฉะนั้นพอเรามาเจอรูปปั้นนายพล Colin Powell ก็เลยต้องถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก เพราะรูปปั้นนี้ (โดยศิลปินชาวโปแลนด์ชื่อ กอชกา มาคูกา – Goshka Macuga) จับจังหวะที่ Powell เสียใจที่สุดในชีวิต ตอนไปให้การผิดๆ ต่อหน้าที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ปี 2003 ว่า อิรักมีคลังอาวุธพลังทำลายล้างสูง (หลังจากนั้นสองปี Powell ยอมรับออกทีวีว่ารู้สึกแย่มากที่ถูกชักจูงให้เข้าใจผิด และการแสดงหลักฐานจอมปลอมครั้งนั้นก็จะเป็น “รอยด่างในประวัติของผมตลอดไป”)

Colin Powell statue

Colin Powell 2003

สิ่งที่เขาชูในมือคือหลอดใส่เชื้อโรค anthrax ใช้อ้างว่าอิรักมีคลังอาวุธชีวภาพชนิดนี้ เป็นเหตุผลที่สหรัฐอเมริกาควรส่งทหารไปก่อสงครามในอิรัก ภาพแรกด้านบนคือรูปปั้นบน High Line ส่วนภาพด้านล่างคือภาพถ่ายปี 2003 ตอนที่เขาไปให้การ (ตอนนี้หมวกใบหนึ่งของ Powell คือเป็นประธานมูลนิธิ Eisenhower Fellowships ฉะนั้นผู้เขียนอาจจะได้เจอตัวจริงก่อนกลับเมืองไทย)

ยิ่งเดินไปตาม High Line ก็ยิ่งสังเกตว่าเขาใส่ใจกับรายละเอียดมาก เช่น ใบหญ้าข้างทางเป็นจำพวกหญ้า ดอกหญ้า ต้นไม้ชนิดที่ขึ้นสองข้างทางรถไฟ ให้บรรยากาศเหมือนเดินไปบนรางรถไฟจริงๆ และทางเดินก็ถูกออกแบบมาให้ดูเหมือนถูก “กลืน” หายเข้าไปในพงหญ้า ไม่ต่างจากม้านั่ง

High Line 4

High Line 5

ตรงจุดที่มองเห็นแม่น้ำอย่างชัดเจน มีม้านั่งหินเรียงเป็นแถวให้นอนอาบแดด ฝั่งตรงข้ามพื้นไม้มีน้ำไหลตลอดเวลา บรรยากาศสุดยอดไปเลย

High Line 6

บางช่วงทำเป็นระเบียงยื่น เรียงม้านั่งเป็นอัฒจันทร์ให้คนชะโงกมองรถยนต์บนท้องถนนข้างล่าง

High Line 6

เราเดิน High Line ตลอดทั้งสองช่วงที่เปิดให้คนเข้าไปดู คือตั้งแต่ประมาณถนนเลขที่ 30 ถึงถนนเลขที่ 13 ระยะทางสองกิโลกว่าๆ ระหว่างทางแวะกินไอติมกับกาแฟตรงจุดพักที่มีรถเข็นขายอาหาร แต่ก็ไม่วายหิวข้าว ฉะนั้นพอเดินลงจากสวนลอยฟ้าแล้วเลยดิ่งไปที่ร้าน Elephant & Castle ใน Greenwich Village ถิ่นโรงเรียนเก่าของผู้เขียน (มีร้านชื่อเดียวกันที่เป็นเชน แต่ไม่ใช่ร้านนี้)

รูปถ่ายคงอธิบายความอร่อยได้ดีกว่าคำพูด รูปแรกด้านล่างคือ “Canyonland Poached Eggs, with Balsamic Jus, Fresh Tarragon, Tomatoes, Avocado and Wild Mushrooms, and Toasted English Muffin” ราคา $11.75 ส่วนรูปที่สองชื่อ “Eggs’n Apples Benedict on French Toast, with Bacon” ราคา $14.50

Egg benedict

Poached eggs

ตอนบ่ายพวกเราไปเดินเล่นที่ Rockefeller Center ซึ่งทำลานหน้าตึกให้เป็นลานน้ำแข็งตามประเพณีแล้ว (อีกไม่นานจะเอาต้นคริสต์มาสยักษ์มาตั้ง) ที่ทำให้ผู้เขียนแปลกใจคือ หน้าลานนี้เมื่อก่อนเคยเป็นร้านขายของที่ระลึกของพิพิธภัณฑ์ Metropolitan Museum of Art ทั้งสองฝั่ง แต่ตอนนี้ฝั่งหนึ่งกลายเป็นร้านเลโก้มาตั้งแทน ขายชิ้นส่วนเลโก้ทั้งแบบเป็นกล่องและเป็นถัง (ตักชิ้นไหนก็ได้มาใส่ถัง คิดราคาตามน้ำหนัก) ในร้านเอาเลโก้มาต่อเป็นอนุสาวรีย์หน้า Rockefeller Center และจำลองลานน้ำแข็งด้วย น่ารักดี

Rockefeller Plaza

Rockefeller Plaza ของจริง

Rockefeller Plaza แบบเลโก้

Rockefeller Plaza แบบเลโก้

Lego by the bucket  

บ่ายสามโมงครึ่งเราเดินไปห้องสมุดสาธารณะของเมืองนิวยอร์ก โดยมี Nina ซึ่งเป็น US Eisenhower Fellow พาทัวร์ (ที่จริงเธอพาคนอื่นทัวร์อยู่แล้ว เราแค่ไปแจม) ห้องสมุดนี้สวยดี เก็บเซ็ตตุ๊กตาหมีพูห์กับเพื่อนชุดออริจินัล (คือเป็นตุ๊กตาที่ A.A. Milne ผู้ประพันธ์ Winnie the Pooh มอบให้แก่ลูกชาย) และมีหนังสือโบราณอีกหลายเล่ม แต่เสียดายที่ผู้เขียนอยู่ไม่จบ เพราะเจ็บเข่าเดินช้าลงเรื่อยๆ เลยต้องไปนั่งพัก พักแล้วก็อดอยากไปเดินดูหนังสือในร้านหนังสือของห้องสมุดไม่ได้ ได้หนังสือติดมือมาหนึ่งเล่ม ออกมายังไม่เจอพรรคพวก ก็เลยนั่งรถใต้ดินกลับโรงแรมไป กลายเป็นว่าโดดงานโดยไม่รู้ตัว :p

ตกเย็นหลังจากที่พักขาเรียบร้อย ผู้เขียนพาเพื่อนๆ (แก๊งกินแก๊งเดิม) ไปทานอาหารอิตาเลียนที่ร้านโปรดของผู้เขียนร้านหนึ่งในเขต Little Italy ของนิวยอร์ก ชื่อ Angelo’s of Mulberry St. เชี่ยวชาญพาสต้าแบบบ้านๆ อร่อยและราคาไม่แพง ผู้เขียนชอบ ravioli ของที่นี่มาก สมัยเรียนเคยแวะมากินเกือบทุกสองเดือน

มานิวยอร์กรอบนี้คงไม่ได้ดูละคร Broadway เลย เพราะเรื่องค่อนข้างใหม่ที่รีวิวดีมากอย่าง Book of Mormon ตั๋วแพงมหาศาล คือ $300++ ถ้าไม่อยากนั่งชั้นสอง ส่วนเรื่องใหม่เอี่ยมอย่าง Betrayal (ซึ่งมีดาราดังฮอลลีวู้ดสองคนมาแสดงนำ คือ Daniel Craig กับ Rachel Weisz) ตั๋วก็แพงถึงหลักพันหรือสองพันเหรียญ!