บันทึก EISENHOWER FELLOWSHIP 2013 (31)

chicago-night.jpg

(บันทึกก่อนหน้า: ปฏิทินการเดินทางวันที่ 1 & 2วันที่สามวันที่สี่วันที่ห้าวันที่หกวันที่ 7 & 8วันที่เก้าวันที่สิบวันที่สิบเอ็ดวันที่สิบสองวันที่สิบสามวันที่สิบสี่วันที่สิบห้าวันที่สิบหกวันที่สิบเจ็ดวันที่สิบแปดวันที่สิบเก้าวันที่ยี่สิบวันที่ยี่สิบเอ็ดวันที่ยี่สิบสองวันที่ 23 & 24วันที่ยี่สิบห้าวันที่ยี่สิบหกวันที่ยี่สิบเจ็ดวันที่ยี่สิบแปดวันที่ยี่สิบเก้าวันที่ 30 & 31, วันที่สามสิบสอง, วันที่สามสิบสาม)

วันที่สามสิบสี่

ชิคาโก :  2/11/2013

เช้านี้บินจากบอสตันมาชิคาโก เมืองที่เคยไปเมื่อยี่สิบปีก่อนตอนไปหาเพื่อนที่เรียนอยู่ University of Chicago แต่ดันโง่ไปเยี่ยมมันในเดือนมกราคม เดือนที่หนาวที่สุดและลมพัดแรงที่สุดประจำปี เลยอุดอู้อยู่ในหอพักเพื่อนทั้งวัน จำอะไรไม่ได้เลยยกเว้นหิมะหนาและทะเลสาบที่แข็งเป็นน้ำแข็งนอกหน้าต่าง

เอลิซาบินมาก่อนหน้าผู้เขียนสองวัน วันนี้เป็นวันเสาร์ เราก็เลยรีบไปเที่ยวกันตามธรรมเนียม 🙂 เริ่มต้นจากการเดินไปกินอาหารเที่ยงที่ Shaw’s Oyster Bar ไม่ไกลจากโรงแรม ตอนแรกจะสั่งแต่อาหารฝรั่ง แต่พอเห็นคนอื่นสั่งซูชิน่ากินเลยสั่งบ้าง ผู้เขียนว่าอร่อยไม่แพ้เมืองไทย (ไม่ต้องเทียบกับญี่ปุ่นเพราะคนละชั้น)

Sushi 1

Sushi lobster

ล็อบสเตอร์ซูชิ

กินข้าวเที่ยงเสร็จก็บ่ายโมงกว่า เราเดินข้ามแม่น้ำขึ้นเหนือ เดินเล่นเลียบถนนมิชิแกน เรียกว่าย่านหรูหรือ “Magnificent Mile” ของชิคาโก อากาศวันนี้เย็นกว่าทุกวันที่ผ่านมา เพราะนอกจากจะย่างเข้าหน้าหนาวแล้ว ลมยังหนาวซ้ำเติม สมกับสมญานาม “เมืองลมแรง” (windy city) ของชิคาโก

river view

Trump Tower

ตึกใหม่ Trump Tower ตอนนี้ยังเถียงกันไม่จบว่าตึกไหนสูงที่สุดในอเมริกา ระหว่างตึกนี้กับ Freedom Tower ในนิวยอร์ก

ด้วยความที่เอลิซากับผู้เขียนมีรสนิยมคล้ายกันมาก คือเห็นแก่กิน และเห็นร้านไอติมเป็นไม่ได้ พอเห็นร้าน Ghirardelli จากซานฟรานมาเปิดสาขาที่นี่เราก็ดิ่งตรงเข้าร้านไปซื้อไอติมมาคนละถ้วย ผู้เขียนสังเกตว่าชิคาโกมีตึกระฟ้าสวยๆ หลายตึก เอลิซาเล่าให้ฟังว่าที่จริง “ตึกระฟ้า” (highrise) ถือกำเนิดในเมืองนี้เป็นที่แรกในโลก และสถาปัตยกรรม “สำนักชิคาโก” ก็ยังส่งอิทธิพลต่อวงการสถาปัตยกรรมจนถึงทุกวันนี้ เอลิซาตั้งท่าจะเล่าต่อ แต่ผู้เขียนบอกว่าเก็บไว้ก่อนก็ได้ เพราะเราจะไปล่องเรือดูสถาปัตยกรรมริมแม่น้ำ ทัวร์ยอดนิยมของ Chicago Architecture Foundation บ่ายสามวันนี้อยู่แล้ว เขาคงอธิบายประวัติศาสตร์ให้ฟังอย่างละเอียด

เราเดินไป John Hancock Observatory ซื้อตั๋วไปชั้นบนสุด ตกลงกันว่าคืนนี้ค่อยตีตั๋วไปดูวิวดีกว่า เพราะวิวชิคาโกตอนกลางคืนน่าจะสวยกว่าตอนกลางวัน กว่าจะซื้อตั๋วเสร็จ เดินกลับมาริมแม่น้ำก็บ่ายสามโมงตรง ได้เวลาลงเรือไป River Cruise พอดี

ไกด์ทัวร์ของเราเป็นสถาปนิกอาชีพที่ทำงานในเมืองชิคาโก เล่าเรื่องสนุกมาก ระหว่างที่เรือล่องไปตามแม่น้ำ เขาก็ชี้ชวนให้ดูตึกต่างๆ สองข้างทาง อธิบายประวัติและลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรมของตึกแต่ละแห่ง แทรกประวัติศาสตร์ของเมืองชิคาโกไปพลางๆ ไม่น่าเชื่อว่าประชากรของชิคาโกพุ่งจากไม่ถึง 100 คน เป็น 1 ล้านคนภายในเวลาไม่ถึงสองปี! (วันนี้มีประชากร 2.7 ล้านคน) เรื่องที่น่าทึ่งที่สุดคือ ชิคาโกเป็นเมืองแรกในโลกที่จัดการให้ “แม่น้ำไหลย้อนศร” ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1900 คือให้แม่น้ำชิคาโกไหลขึ้นทางตะวันตก แทนที่จะไหลลงทะเลสาบมิชิแกนทางตะวันออก ทำแบบนี้ได้ด้วยการขุดคลองระบายน้ำและใช้ปั๊มน้ำช่วย โครงการย้อนศรแม่น้ำจำเป็นสำหรับเมืองนี้เพราะแม่น้ำชิคาโกเต็มไปด้วยของเสียจากโรงงานฟอกหนัง โรงเบียร์ โรงถลุงเหล็ก โรงงานเคมี และอุตสาหกรรมหนักอื่นๆ อีกมากมาย ในสมัยที่ไม่มีระบบการบำบัดน้ำเสีย พอน้ำเสียจากโรงงานพวกนี้ไหลลงแม่น้ำ ก็ไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำคือทะเลสาบมิชิแกน แหล่งน้ำดื่มของชาวเมืองชิคาโก ก่อให้เกิดโรคระบาดที่มากับน้ำมากมายหลายครั้ง โดยเฉพาะอหิวาห์ตกโรค

พอมีข่าวว่าชิคาโกกำลังขุดคลองบังคับให้แม่น้ำไหลย้อนศร ชาวเมืองอื่นที่อยู่ทางต้นน้ำไปทางทิศตะวันตก รวมทั้งเซนต์หลุยส์ (St. Louis) ก็กลัวว่าจะต้องกินน้ำเน่าจากชิคาโก เทศบาลชิคาโกเลยตัดสินใจทำพิธีเปิดคลองเลยทำอย่างเงียบเชียบ แต่สุดท้ายก็ปรากฏว่าสายน้ำไม่ได้เน่าไปถึงเซนต์หลุยส์อย่างที่กลัวกัน

ไกด์เล่าประวัติตึกระฟ้าริมน้ำหลายสิบตึก ผู้เขียนเล่าแต่เฉพาะตึกที่ตัวเองชอบก็แล้วกัน

  1. 333 Wacker Drive ตัวอย่างที่ดีมากของการ “ออกแบบให้เข้ากับบริบท” (contextualized design) ตึกออฟฟิศริมน้ำแห่งนี้ใช้กระจกสีเขียวเพื่อสะท้อนสีของแม่น้ำชิคาโกและแสงเงาของตึกอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง ตัวอาคารก็โค้งให้เข้ากับคุ้งน้ำพอดิบพอดี

333 Wacker Drive

  1. Leo Burnett Building สำนักงานของเอเยนซีโฆษณาชื่อดัง ที่จริงใช้สถาปัตยกรรมแบบ “หลังสมัยใหม่” (postmodern) แต่ใช้แผ่นเหล็กแนวตั้งแบ่งครึ่งหน้าต่างตามสถาปัตยกรรมสำนักชิคาโก ทำให้ตึกดูสูงชะลูดกว่าเดิมและสะท้อนแสงอาทิตย์เข้าไปในห้องมากขึ้น หน้าต่างแบบนี้เรียกว่า “หน้าต่างแบบชิคาโก” ไกด์บอกว่าให้สังเกตชั้นแรกๆ ว่า “ปูด” ออกมาเหมือนเสาสี่ข้าง ดูสวยและสร้างความแข็งแรงให้กับตึกด้วย (ดินในชิคาโกทั้งเฉอะแฉะ ทั้งลุ่ยเละ ตึกสูงจึงต้องสร้างให้แข็งแรงมากๆ)

Leo Burnett Building

  1. Montgomery Ward Company Complex อดีตเคยเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทขายของทางไปรษณีย์ (mail order company) ที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก ใช้วิธี “คาดเข็มขัด” ให้ตึก (belting the building) และหักตามคุ้งน้ำ (บริษัท Montgomery Ward ล้มละลายในปี 2001 วันนี้ตึกเลยเปลี่ยนเป็นคอนโดมีเนียม สำนักงาน ร้านค้า และร้านอาหาร) สถาปนิกที่ออกแบบตึกนี้เป็นเพื่อนของ แฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ ได้แรงบันดาลใจมาจากเขา

Montgomery Ward Building

  1. ตึกหนังสือพิมพ์ Chicago Sun-Times ผู้เขียนไม่ได้ชอบตึกนี้หรอก แต่ชอบเรื่องราวของสะพานข้างตึก เมื่อก่อนสะพานนี้เคยเป็นรางรถไฟ ขนกระดาษมาส่งหนังสือพิมพ์ แต่วันนี้เพราะยอดขายหนังสือพิมพ์ตกลงมากเลยไม่ใช้แล้ว เปิดสะพานตลอดเวลา ถ่วงน้ำหนักด้วยก้อนคอนกรีตหนักหลายตัน (เรือเราแล่นผ่านใต้สะพานนี้ด้วย แต่ผู้เขียนถ่ายรูปคอนกรีตมาไม่ทัน) 

Chicago Sun-Times

  1. Aqua ตึกโปรดของผู้เขียน 🙂 ดู “ลื่นไหล” เหมือนสายน้ำ เพราะออกแบบระเบียงเป็นเส้นโค้ง แต่ละชั้นไม่เหมือนกันเลยและยื่นออกมาไม่เท่ากัน ตึกนี้เป็นตัวแทนกระแสล่าสุดของการออกแบบตึกในชิคาโกปัจจุบัน อีกหน่อยคงมีตึกแปลกๆ แต่ดูดีมากกว่านี้มาก

Aqua

ไกด์สรุปให้ฟังว่า ลักษณะของ “ตึกสมัยใหม่” (modern) แบบชิคาโกมีห้าอย่าง – 1) เป็นแท่งสี่เหลี่ยม 2) หลังคาแบนเรียบ 3) เผื่อพื้นที่ใช้สอยให้ได้มากที่สุด 4) ใช้แผ่นเหล็กกล้าและมองเห็นว่าเป็นเหล็ก (ไม่ซ่อนจากสายตา) และ 5) แทบไม่มีการประดับประดาใดๆ เลย

ชิคาโกมีตึกระฟ้าสวยๆ เยอะมาก เพราะสถาปนิกแข่งกันสร้างผลงาน สไตล์สถาปัตยกรรมในหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมามีตั้งแต่อิทธิพลกรีกโบราณ อาร์ตเดโค (Art Deco) โบซ์อาร์ต (Beaux Art) จนมาถึงสำนักชิคาโก แบบลูกผสม (hybrid style) หลังสมัยใหม่ ฯลฯ

ตกเย็นไปกินข้าวกันที่ร้าน Purple Pig ร้านดังของเมืองนี้ ไปถึงก็พบว่าเราต้องรอคิวยาวกว่าสามชั่วโมง (!) ถึงจะได้กิน ผู้เขียนกับเอลิซาเลยเดินกลับไปที่ตึก John Hancock ขึ้นลิฟต์ไปชมวิวเมืองกันก่อน

Chicago at night

Hancock view 1

Hancock view 2

กลับมาถึงร้าน Purple Pig ยังต้องต่อคิวอีก 40 นาที แต่พอได้ที่นั่ง (สามทุ่มครึ่ง!) ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าการรอคอย  อาหารที่นี่ ‘ครีเอท’ ดี ใช้ทุกส่วนของหมู ตั้งแต่ “Bone Marrow” (ไขกระดูก) เสิร์ฟพร้อมขนมปังกรอบ ให้เราทาไขกระดูกจิ้มเกลือกิน ไปจนถึงหูหมูเอามาฉีกเป็นเส้น แล้วเอามาผัดกับใบปอใส่ไข่ดาว

Bone marrow

pig's ear