เหล่าบล็อกเกอร์เยือนเยอรมนี ตอนที่ 7

[อ่าน ตอนที่หนึ่ง ตอนที่สอง ตอนที่สาม ตอนที่สี่ ตอนที่ห้า ตอนที่หก และดูรูปทั้งหมดที่ถ่ายได้ที่ Flickr set หน้านี้]

Blogger Tour 2011
วันที่หก: 10 เมษายน 2554

วันนี้พวกเรานั่งรถไฟมาแฮมบูร์กแล้ว ไปนั่งเรือเที่ยวอ่าวและแม่น้ำเอลเบทั้งบ่ายตามโปรแกรม แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะราบรื่น ช่วงเช้าก็ขลุกขลักเล็กน้อย เริ่มจากลิซ่ามาสายกว่าเวลานัดไปสิบกว่านาที ปกติเธอจะมาถึงเป็นคนแรก คอยกวาดต้อนพวกเราที่อ้อยอิ่งเอ้อระเหยอยู่ตามมุมต่างๆ ของโรงแรม พอไปถึงสถานีรถไฟเราก็ลงชานชาลาผิดหมายเลข ต้องลากกระเป๋ากลับไปกลับมา สุดท้ายพอรถไฟมาถึงก็ปรากฏว่าเป็นรถไฟรุ่นเก่า ผิดความคาดหมายของลิซ่า เก้าอี้ทั้งขบวนหันหน้าไปทางเดียวกัน เราทุกคนต้องนั่งดูวิว “ถอยหลัง” ชั่วโมงกว่าจนถึงแฮมบูร์ก

เราทุกคนไม่มีใครเดือดร้อนกับ “ปัญหา” ทั้งหมดนี้เลย สำหรับคนจากประเทศกำลังพัฒนาปัญหาทำนองนี้จิ๊บจ๊อยมาก (เมืองไทยวันไหนโป๊ะไม่ล่ม รถเมล์ไม่เทกระจาดคนลงมาตายก็นับว่าโชคดีมากแล้ว) แต่คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนเยอรมันผู้เคร่งครัดและไม่ชินกับอุปสรรคที่ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ ลิซ่าทำหน้าเครียดตลอดเวลาที่อยู่ในรถไฟ มิใยที่พวกเราจะพยายามปลอบใจ แต่พอถึงแฮมบูร์กและโรงแรมโดยสวัสดิภาพเธอก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย

เขาให้เราพักโรงแรมร้อยปีริมอ่าวชื่อ Hotel Hafen Hamburg เก่าแก่ก็จริงแต่โชคดีที่ห้องน้ำทันสมัย ไม่ใช่ห้องน้ำชักโครกสูงสมัยวิคตอเรียนที่โรงแรมหรูหราโบราณในอังกฤษชอบใช้ เพียงแต่ห้องเล็กกว่าเบอร์ลิน ไม่มีตู้เสื้อผ้า มีแต่ตะขอแขวนเสื้อติดฝาผนัง ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่หอพักสมัยเรียนไฮสกูลที่อเมริกา ซึ่งก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นโอกาสได้รำลึกถึงความหลัง


[อ่าน ตอนที่หนึ่ง ตอนที่สอง ตอนที่สาม ตอนที่สี่ ตอนที่ห้า ตอนที่หก และดูรูปทั้งหมดที่ถ่ายได้ที่ Flickr set หน้านี้]

Blogger Tour 2011
วันที่หก: 10 เมษายน 2554

วันนี้พวกเรานั่งรถไฟมาแฮมบูร์กแล้ว ไปนั่งเรือเที่ยวอ่าวและแม่น้ำเอลเบทั้งบ่ายตามโปรแกรม แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะราบรื่น ช่วงเช้าก็ขลุกขลักเล็กน้อย เริ่มจากลิซ่ามาสายกว่าเวลานัดไปสิบกว่านาที ปกติเธอจะมาถึงเป็นคนแรก คอยกวาดต้อนพวกเราที่อ้อยอิ่งเอ้อระเหยอยู่ตามมุมต่างๆ ของโรงแรม พอไปถึงสถานีรถไฟเราก็ลงชานชาลาผิดหมายเลข ต้องลากกระเป๋ากลับไปกลับมา สุดท้ายพอรถไฟมาถึงก็ปรากฏว่าเป็นรถไฟรุ่นเก่า ผิดความคาดหมายของลิซ่า เก้าอี้ทั้งขบวนหันหน้าไปทางเดียวกัน เราทุกคนต้องนั่งดูวิว “ถอยหลัง” ชั่วโมงกว่าจนถึงแฮมบูร์ก

เราทุกคนไม่มีใครเดือดร้อนกับ “ปัญหา” ทั้งหมดนี้เลย สำหรับคนจากประเทศกำลังพัฒนาปัญหาทำนองนี้จิ๊บจ๊อยมาก (เมืองไทยวันไหนโป๊ะไม่ล่ม รถเมล์ไม่เทกระจาดคนลงมาตายก็นับว่าโชคดีมากแล้ว) แต่คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนเยอรมันผู้เคร่งครัดและไม่ชินกับอุปสรรคที่ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ ลิซ่าทำหน้าเครียดตลอดเวลาที่อยู่ในรถไฟ มิใยที่พวกเราจะพยายามปลอบใจ แต่พอถึงแฮมบูร์กและโรงแรมโดยสวัสดิภาพเธอก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย

เขาให้เราพักโรงแรมร้อยปีริมอ่าวชื่อ Hotel Hafen Hamburg เก่าแก่ก็จริงแต่โชคดีที่ห้องน้ำทันสมัย ไม่ใช่ห้องน้ำชักโครกสูงสมัยวิคตอเรียนที่โรงแรมหรูหราโบราณในอังกฤษชอบใช้ เพียงแต่ห้องเล็กกว่าเบอร์ลิน ไม่มีตู้เสื้อผ้า มีแต่ตะขอแขวนเสื้อติดฝาผนัง ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่หอพักสมัยเรียนไฮสกูลที่อเมริกา ซึ่งก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นโอกาสได้รำลึกถึงความหลัง

Hafen Hamburg เอาตึกโบราณมาดัดแปลงเป็นโรงแรม ใช้ธีมทหารเรือทั้งหลัง ตึกสมัยใหม่ทรงเรือที่อยู่ติดกันก็เป็นของโรงแรมเหมือนกัน ในโรงแรมประดับด้วยเรือย่อส่วน (ในขวดแก้ว) ภาพวาดเรือสมัยโบราณ และรูปปั้นกะลาสีตามทางเดิน ห้องโถง และคานไม้ใต้หลังคา ผู้เขียนเดินดูเรือย่อส่วนในตู้กระจกอย่างเพลิดเพลิน ลำที่ชอบที่สุดคือเรือประมงขนาดครึ่งฝ่ามือ คนทำใส่ใจกับรายละเอียดมาก ชวนให้คิดว่าน่าจะเป็น labor of love เหมือนกับเวลาที่ผู้เขียนเขียนหนังสือ

เรือประมงย่อส่วน
เรือประมงย่อส่วน

แน่นอนเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับคณะเราคือสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่นี่ไวไฟค่อนข้างช้าแต่มีช่องเสียบสาย DSL/LAN ในห้อง เร็วปรื๋อเลย ขอล็อกอินกับพาสเวิร์ดครั้งเดียวแล้วไม่ต้องขออีก ใช้ได้ 2 วัน (โรงแรมเราที่เบอร์ลินต้องขอล็อกอินกับพาสเวิร์ดใหม่ทุกเย็น เพราะ 10 ยูโร (เขาออกให้) ใช้ได้เพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น) ไม่รู้ว่าที่นี่คิดกี่ยูโรเพราะในใบล็อกอินเขาไม่ได้บอกราคา

พอเช็คอินเข้าห้องล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วลิซ่ากับลูเซียนก็พาพวกเราไปหาอะไรกิน เพราะท้องเริ่มร้องตอนบ่ายโมง ทางเดินด้านหลังโรงแรมตัดลงเขาไปลงตรงท่าเรือพอดี เดินแค่ไม่กี่นาทีก็ถึง

โรงแรม Hafen Hamburg
โรงแรม Hafen Hamburg

พวกเราเดินหาอะไรง่ายๆ ทาน แต่ดูเหมือนว่าของทานง่ายก็ยังค่อนข้างแพง เพราะเป็นถิ่นนักท่องเที่ยว บรรยากาศท่าเรือคล้ายกับ Pier 49 ในซานฟรานซิสโก คือเดินหาของกินริมแม่น้ำได้ตลอดทาง แต่ท่าเรือที่นี่ยาวกว่ามาก สุดท้ายเราเลือกร้านที่มีที่นั่งพอสำหรับคน 16 คน ผู้เขียนสั่ง schnitzel หมู (schnitzel คือการเอาของกินไปทอดกับเกล็ดขนมปัง) ปรากฏว่าไม่อร่อยเลย แต่ด้วยความหิวก็เลยทนกินจนหมด (และคอยขโมยมันทอดจากจานคนอื่น)

มื้อนี้เป็นมื้อแรกที่ทานอาหารไม่อร่อย หลังจากที่อยู่เยอรมนีมาแล้ว 5 วัน แต่ไม่บ่นให้เจ้าภาพฟังเพราะสตางค์ตัวเองก็ไม่ได้ออก ถ้าบ่นลิซ่าต้องเดือดร้อน วิ่งหาร้านอาหารใหม่ให้แน่ๆ

บ่ายสามโมงเราไปนั่งเรือชมอ่าวและท่าเรืออันโด่งดังของแฮมบูร์กตามกำหนดการ ไกด์เราจบปริญญาเอกด้วย ชื่อธอมัส แกเริ่มต้นด้วยการแจกเบียร์ดังยี่ห้อ Astra ของแฮมบูร์ก ผู้เขียนปฏิเสธไม่รับเพราะกลัวว่าถ้าเมาแล้วจะเป็นภาระของคนอื่น

เมื่อเรือเริ่มออกจากท่า คุณธอมัสก็เริ่มเล่าเรื่องของเมืองแฮมบูร์ก เมืองนี้เป็นเมืองที่มีสะพานมากที่สุดในยุโรป และเป็นเมืองที่เขียว(เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม)ที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ในยุโรป ปีนี้เพิ่งได้รางวัล “European Green Capital” เป็นเมืองที่สองในประวัติศาสตร์หลังจากสต็อคโฮล์มส์ในสวีเดน ซึ่งก็สมควรแล้ว เพราะเมืองนี้มองด้วยสายตาก็เห็นชัดว่าเขียว เพราะนอกจากคนที่นี่จะขี่จักรยานกันเยอะมาก (และขับอย่างเกรงใจคนเดินเท้ามากกว่าคนเบอร์ลิน) ระหว่างทางมาที่นี่ในรถไฟยังสังเกตเห็นฟาร์มกังหันลมขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 4-5 แห่ง พอมาเปิดแผนที่ดูก็เห็นเครือข่ายสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมือง กินเนื้อที่เกือบหนึ่งในสี่น่าจะได้ ธอมัสบอกว่าแฮมบูร์กมีกังหันลมผลิตไฟฟ้าที่สูงถึง 200 เมตร

ธอมัสออกตัวว่า ที่จริงไม่ยากหรือที่คุณจะเป็นเมืองสีเขียว ถ้าคุณไม่มีอุตสาหกรรมหนักเลยอย่างแฮมบูร์ก รายได้ของที่นี่ส่วนใหญ่มาจากท่าเรือขนาดมหึมาที่เรากำลังล่องผ่าน แต่ก็ควรให้เครดิตรัฐบาลเมืองด้วยที่หมดเงินเยอะมากไปกับการปรับปรุงคุณภาพน้ำ

ธอมัสบอกว่าทั้งประเทศนี้ ท่าเรือแฮมบูร์กคือที่ที่คนเยอรมันอยากมาเที่ยวมากที่สุด ส่วนชาวต่างชาติอยากไปเยือนปราสาทเทพนิยาย Neuschwanstein ในรัฐบาวาเรียมากที่สุด เขาคิดว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่แฮมบูร์กยังไม่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคือ เยอรมนียังมีปัญหาภาพลักษณ์ว่าเป็น “ประเทศของนาซี” และแฮมบูร์กเองก็เป็นเมืองใหญ่ที่ฮิตเลอร์ปลุกระดมผู้คนรวมทั้งเด็กๆ ได้สำเร็จเป็นเมืองแรกๆ (ผู้เขียนคิดในใจว่า ไม่นับปัญหากลุ่มวัยรุ่นนีโอนาซีที่ยังออกมาก่อความวุ่นวายทีละหลายสิบคน)

เมืองเยอรมันที่แพงที่สุดคือมิวนิค แต่แฮมบูร์กก็แพงขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้กันแล้ว ส่วนใหญ่เพราะรัฐบาลที่นี่ (แฮมบูร์กเป็นรัฐในตัวเอง เหมือนกับเบอร์ลิน) ทุ่มเงินลงทุนเยอะมากเพื่อพัฒนาเมืองให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ได้ โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ริมสองฝั่งท่าเรือที่รัฐสร้างเองและเชิญเอกชนมาสร้าง(พร้อมให้สิทธิประโยชน์มากมาย)นั้น ถ้าดูเนื้อที่แล้วเขาบอกต้องนับว่าใหญ่ที่สุดในยุโรป ถ่ายรูปจากในเอกสารแจกมาให้ดูเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ตึกที่เห็นเป็นสีๆ คือของใหม่ที่กำลังสร้างอยู่

โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถบท่าเรือ
โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถบท่าเรือ

อากาศวันนี้ดีมาก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แดดจ้า อุ่นที่สุดตั้งแต่มาที่เยอรมนี อุณหภูมิเดาว่าประมาณ 19-20 องศา พวกเรานั่งจิบเบียร์ ชะเง้อถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน แม้แต่บันจูมูนซึ่งปกติเป็นคนเงียบขรึมที่สุดในกลุ่มก็เฮฮาเต็มที่

บันจูมูน วิคเตอร์ และเคเจ
บันจูมูน วิคเตอร์ และเคเจ นักข่าวหัวเห็ดจากเกาหลีใต้ โรมาเนีย และจีน

แล่นมาไม่นานก็ถูกเรือแท็กซี่แซง ทำเอาเรือเราโคลงเคลงเล็กน้อย

เรือแท็กซี่
เรือแท็กซี่

ธอมัสบอกว่า โรงแรม Hafen Hamburg ที่พวกเราพักนั้นเป็นโรงแรมที่โด่งดังที่สุดในเมืองเพราะวิวสวย (โชคไม่ดีที่ผู้เขียนได้วิวตึกติดกัน ไม่ใช่วิวแม่น้ำ) ปกติต้องจองล่วงหน้านานเป็นปี ประวัติของโรงแรมนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เขาบอกว่าสมัยก่อนเคยเป็นโรงแรมสำหรับกะลาสี แต่เจ้าของดันเป็นคนคริสต์นิกายแคทอลิก ออกกฎห้ามแขกในโรงแรมสูบบุหรี่หรือพาเพื่อนขึ้นห้อง ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีกะลาสีเรือที่ไหนอยากทำตาม โรงแรมก็เลยเจ๊งภายในเวลาไม่นาน ต่อมาเลยแปลงเป็นที่พักของพยาบาลให้รู้แล้วรู้รอดไป (แฮมบูร์กเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีเหนือ เหมือนกับเบอร์ลิน คนแถบนี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคร่งศาสนา ถ้านับถือคริสต์ส่วนมาก็จะเป็นโปรแตสแตนท์ ไม่เหมือนกับทางใต้ซึ่งมีแคทอลิกอยู่เยอะ)

เรือเราขับผ่านตึกหน้าตาแปลกแต่สวยหลายหลัง เช่นอาคารสำนักงานใหญ่ของ China Shipping Group บริษัทชิปปิ้งขนาดใหญ่จากจีน – สินค้าที่ผ่านท่าเรือที่นี่กว่าครึ่งหนึ่งมาจากจีน แฮมบูร์กเป็นศูนย์กลางชิปปิ้งของเอเชีย ยุโรปตะวันออก และรัสเซีย ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อสองปีก่อนก็เลยกระทบแฮมบูร์ค่อนข้างมาก

สำนักงานเยอรมนีของ China Shipping
สำนักงานเยอรมนีของ China Shipping

รูปต่อไปคือบริษัทชิปปิ้งของเยอรมนี จดชื่อมาไม่ทัน สวยแบบที่ยานอวกาศสวย 🙂

บริษัทชิปปิ้งของเยอรมนี
บริษัทชิปปิ้งของเยอรมนี

จุดที่เราวกเรือกลับอยู่ใกล้กับอาคารแสดงออเคสตราหลังใหม่ที่กำลังก่อสร้าง ผู้เขียนคิดว่ามันดูปูดๆ โปนๆ จน “แปลกตา” มากกว่า “สวย” แต่สร้างเสร็จเมื่อไรอาจจะออกมาสวยก็ได้

Elbphilharmonie Hamburg
Elbphilharmonie Hamburg

ตึกที่ผู้เขียนชอบที่สุดในท่าเรือแฮมบูร์กคือตึกในรูปข้างล่างนี้ เป็นอพาร์ตเม้นท์สมัยใหม่ สร้างเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดยักษ์ จุดสำคัญคือเป็นต้นแบบให้กับ passive house หลังแรกในประเทศจีน (passive house หมายถึงอาคารที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูงมาก)

แม่แบบ passive house ในจีน
แม่แบบ passive house ในจีน

พยายามถ่ายรูปกองตู้คอนเทนเนอร์ เครนยกของ เรือขนส่ง และท่าเทียบเรือ แต่ถ่ายไม่ไหวเพราะเราแล่นใกล้มันเกินไป และทุกสิ่งทุกอย่างก็ใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน เลยถ่ายบรรยากาศชายหาดกับบ้านติดหาดมาแทน ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าบ้านพวกนี้แพงมาก แพงจนคนเมืองนี้ถึงร้อยละ 60 เช่าบ้านอยู่ ไม่ได้เป็นเจ้าของ บางถนนริมน้ำในเมืองกลายเป็นถิ่นที่แพงที่สุดในประเทศ

ชายหาดแฮมบูร์ก
ชายหาดแฮมบูร์ก (คลิ้กเพื่อดูรูปขยาย)

ตกเย็นลิซ่ากับลูเซียนพาพวกเราไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านชื่อ Schönes Leben อาหารอร่อยดี ไวน์กับเบียร์มีไม่อั้น ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ!

Schönes Leben
Schönes Leben

โบสถ์ยามเย็น
โบสถ์ยามเย็น