(คั่นรายการบล็อกประสบการณ์ Eisenhower Fellowship 2013 เล็กน้อยด้วยการสรุป Keynote Speech ของ Nate Silver นักข่าว/นักสถิติชื่อดัง ผู้เขียนหนังสือเบสต์เซลเลอร์เรื่อง The Signal and the Noise ก่อนหน้านี้ Silver ดังเป็นพลุแตกจากการพยากรณ์ผู้ชนะเลือกตั้งในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2008 ถูกต้องทั้ง 50 มลรัฐของอเมริกา ปัจจุบันเขาและบล็อก FiveThirtyEight.com ของเขาทำงานให้กับ ESPN ค่ายสื่อกีฬายักษ์ใหญ่ของอเมริกา
Silver ได้รับเชิญมากล่าวปาฐกถาในงาน Online News Association 2013 (ONA13) ซึ่งผู้เขียนได้ร่วมฟัง คิดว่าเนื้อหาน่าจะเป็นประโยชน์แก่นักข่าวชาวไทยและทุกคนที่ไม่ใช่นักข่าว จึงอยากจะเล่าสู่กันฟัง – เนื้อหาต่อไปนี้ถอดความและเรียบเรียงจากปาฐกถาของเขา ฟังไฟล์เสียงและดูวีดีโอต้นฉบับได้จากเว็บ ONA13 หรือจากด้านล่างของโพสนี้ และถ้าใครสนใจ อ่านคอลัมน์ของผู้เขียนตอน “อย่าตายน้ำตื้นกับสถิติ” ได้จากเว็บ ThaiPublica)
ที่มาภาพ: https://pbs.twimg.com/media/BW4NMyXIgAAQnzz.jpg
คนเรียกผมว่า “นักสถิติ/นักข่าว” ผมยินดีมากที่จะรับเอาเครื่องหมาย / ในนิยามนี้ ทุกวันนี้เราไม่ขาดแคลนข้อมูลดิบหรือข้อมูลอื่นๆ อีกต่อไป ความท้าทายที่แท้จริงอยู่ที่ว่า เราจะทำอย่างไรกับข้อมูลทั้งหลายแหล่
ในสปิริตของงานนี้ ผมขอเสนอ 8 เรื่องเจ๋งที่นักข่าวจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับสถิติ –
- สถิติไม่ใช่แค่ตัวเลข (statistics aren’t just numbers) หากแต่เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง นักข่าวต้องให้ความสำคัญกับที่มาของตัวเลข และ “อ่าน” สถิติให้เป็น
- ข้อมูลต้องมีบริบท (data requires context) ยกตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์ New York Times ในข่าวชิ้นหนึ่งเรียกจีนว่า “เศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก” ประเด็นคือถึงแม้เศรษฐกิจของจีนจะใหญ่จริงๆ ตัวเลขรายได้ต่อหัวก็ยังต่ำ คืออยู่อันดับที่ 93 ของโลก ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกมาก ในบริบทของข่าวชิ้นนี้ ตัวเลขที่สำคัญกว่าขนาดของเศรษฐกิจคือตัวเลขรายได้ต่อหัว เพราะบทความนี้พูดถึงมาตรฐานความเป็นอยู่ในประเทศจีน การอ้างขนาดเศรษฐกิจจึงทำให้คนอ่านพลาดสาระสำคัญ – เราเข้าใจดีว่า “คำพูดต้องมีบริบท” แต่ข้อมูลก็ต้องการบริบทเช่นเดียวกัน
- ความเกี่ยวโยงไม่เท่ากับความเป็นเหตุเป็นผล (correlation is not causation) บางครั้งตัวแปรสองตัวมีความสัมพันธ์ทางสถิติ (statistical relationship) โดยไม่มีความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง (structural relationship) คือไม่ใช่ว่าตัวแปรตัวแรก “ก่อให้เกิด” ตัวที่สอง ยกตัวอย่างเช่น ทั้งฆาตกรรมและยอดขายไอศกรีมต่างพุ่งสูงกว่าปกติในฤดูร้อน แต่ไม่ได้แปลว่าไอศกรีม “ทำให้” คนฆ่าคนมากขึ้น บางครั้งความที่นักข่าวอยากเล่า “เรื่องราว” ทำให้ยากที่จะแยกแยะระหว่างความเกี่ยวโยงกับความเป็นเหตุเป็นผล นักข่าวคุ้นเคยกับการตั้งคำถามต่อแหล่งข่าว แต่ควรตั้งคำถามต่อข้อมูลต่างๆ ด้วย
- หาค่าเฉลี่ยเถอะนะ (take the average, stupid) ผมรู้สึกเซ็งกับวิธีที่สื่อมวลชนแสดงผลโพลต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น สมมุติมี 19 โพลบอกว่า โอบามามีคะแนนนำ แต่โพลที่ 20 บอกว่า รอมนีย์มีคะแนนนำในรัฐเดียวกัน สื่อจะชอบพาดหัวว่า “รอมนีย์กำลังตีตื้น” หรืออะไรทำนองนี้ ทั้งที่ผลโพลที่ 20 โพลเดียวไม่ค่อยสำคัญเมื่อเทียบกับอีก 19 โพล อีกตัวอย่างคือ ไม่นานมานี้สื่อพาดหัว “คุ้กกี้โอรีโอได้รับการพิสูจน์ว่าเสพติดกว่าโคเคน” ซึ่งพาดแบบนี้ย่อมดึงดูดคนอ่านมาก แต่นั่นไม่ใช่ผลการวิจัย – นักข่าวส่วนใหญ่ดิ้นรนหา “ทางสายกลาง” ในกรณีที่หลักฐานส่วนใหญ่ชี้ไปทางเดียวกัน มีหลักฐานเพียงส่วนน้อยที่ชี้ไปอีกทาง (ฟัง Silver พูดตรงนี้ผู้เขียนนึกถึงเรื่อง climate change ทันที) นักข่าวบางคนไม่อยากให้คนมองว่าตัวเองเลือกข้างหรือไม่แน่ใจ แต่นักข่าวจำเป็นจะต้องใช้ข้อมูลให้เป็น
- สัญชาตญาณวัดความน่าจะเป็นได้แย่มาก (intuition is a poor judge of probability) นักข่าวต้องรู้ว่าสัญชาตญาณของคนเรามีจุดอ่อนและจุดบอดมากมาย ขอแนะนำให้ทุกคนอ่านหนังสือเรื่อง Thinking, Fast and Slow โดย Daniel Kahneman (นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมคนโปรดของผู้เขียน :))
- จงรู้สมมุติฐานของตัวเอง (know thy priors – aka Know Your Assumptions) ทฤษฎีเบยส์ (Bayes Theorem) พิสูจน์ว่าเราทุกคนมี “ความเชื่อล่วงหน้า” (prior belief) ซึ่งถูกตีกรอบโดยค่าความน่าจะเป็น นักข่าวต้องยอมรับว่าเราทุกคนมองโลกผ่านกรอบที่เราตีมาแล้วล่วงหน้า ทฤษฎีเบส์ช่วยให้เราเข้าใจเรื่องความลำเอียงและความเป็นภววิสัยของสื่อ
- ลัทธิเชื่อคนวงในคือศัตรูของความเป็นภววิสัย (insiderism is the enemy of objectivity) คนเรามักจะเชื่อเอาเองว่าข้อมูลที่ได้จาก “วงใน” คือข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงตรง แต่ข้อเท็จจริงอาจไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ เช่น ผลการวิจัยพบว่าลิงปาเป้าเลือกหุ้นได้ ‘เก่ง’ กว่านักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นักข่าวต้องตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเอง อย่าเชื่อคนวงในเพียงเพราะเขาเป็นคนวงใน
- การพยากรณ์ช่วยเพิ่มความรับผิด (making predictions improve accountability) เพราะอนาคตจะบอกว่าคุณทายถูกหรือผิด นักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า “การวางเดิมพันคือภาษีความตอแหล” (A bet is a tax on bullshit)
วรรคทองของ Silver ที่ผู้เขียนชอบมากคือ “นักข่าวควรห่วงเรื่องความจริง ไม่ใช่หน้าตา” (Journalists ought to be concerned with truth, not appearances)
ดูวีดีโอต้นฉบับ: